Pages

Tuesday, April 26, 2011

Washington: the evergreen state ตอน 3

คืนสุดท้ายของทริปที่ Seattle เราพักกันที่ Holiday Inn Express ครับ เหตุผลที่เลือกที่นี่มีสองสามข้อครับ อย่างแรกคือถูก ฮ่าๆ ถ้าพักใน downtown จริงๆผมรับราคาไม่ไหวครับ เลยต้องฉีกออกมาไม่กี่สิบบล็อค ก็ได้คืนละไม่ถึง 25 ต่อคนแล้วครับ ข้อสอง จากตรงนี้ใกล้ Space Noodle....เอ้ย Space Needle มาก เดินทางไปชมวิวได้สะดวกครับ แต่สุดท้ายเราก็ไม่ได้ที่นี่มากเท่าไหร่ 555 อย่างสุดท้ายคือตรงนี้เป็นระยะที่พอเดินไป Free ride area ได้ครับ

ใน Downtown seattle อย่างนึงที่ผมชอบมากๆคือ นั่งรถเมล์ฟรีครับ โอ้วววววว พระเจ้าจอร์จ แต่ที่ฟรี จะมีขอบเขตอยู่ครับ ถ้านั่งเลยออกจากนั้น หรือขึ้นก่อนตรงนั้นเพียงป้ายเดียว เสียเงินทันที ฮ่าๆๆ ผมว่าเป็นนโยบายที่ดีมาก เพราะสนับสนุนให้คนใช้ขนส่งมวลชน ทำให้ downtown รถติดน้อยลง แต่ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมบ้านเราก็มีรถเมล์ฟรี แต่ยังรถติดอยู่ดี 5555 ฉะนั้นจาก Holiday Inn เดินเข้ามาใน free ride area ประมาณ 10 นาที แล้วก็ลิงโลด ไม่ต้องเสียเงินอีก เป็นข้อดีของที่ตั้งโรงแรมที่ผมชอบมากครับ ดูแผนที่ได้จาก link นี้ครับ แต่ว่าฟรีเฉพาะรถเมล์ King County ส่วน Sound Transit ซึ่งมีรถรางไปสนามบิน Sea-Tac ได้จะไม่ฟรีนะครับ

เริ่มต้นด้วยเช้าวันจันทร์ด้วย First Starbucks สำหรับคนรักการแฟ เริ่มเดินจากโรงแรมไป 3rd Ave ซึ่งจะมีรถเมล์ผ่านเยอะที่สุด นั่งไปสักพักจนถึง Stewart St. เดินไปทางริมน้ำก็จะถึงโซน Pike Place Market ครับ ที่นี่เป็นสวรรค์ของการกินเลยทีเดียว ผมเองยังชิมร้านเด่นๆไม่หมดเพราะว่าหาไม่เจอ ฮาาาาาาาาาา


เห็นป้ายนี้ แสดงว่าเรามาถึง Pike Place Market ที่ใครมา Seattle ก็ต้องมาที่นี่ครับ

เอาเป็นว่าจุดหลักๆที่เราไปก็มีดังนี้ครับ

First Starbucks อยู่ตรง Pike Pl ระหว่าง Virginia St. กับ Stewart St. คอกาแฟน่าจะชอบครับ มีของที่ระลึกมากมาย และโลโก้ร้านนี้ก็ไม่เหมือนร้านอื่นซะด้วย ส่วนผม ไม่กินกาแฟครับ 555 ใกล้ๆกันมีร้านขนมปังฝรั่งเศสชื่อ Le Panier ซึ่งผมไปทานมาชิ้นสองชิ้น ก็อร่อยดีครับ เดินไปนิดหน่อยทาง Pine St. จะเจอร้านชีสอยู่หัวมุมเลย มองเห็นเขากำลังทำชีสสดๆ น่าทานมาก น่าอร่อยครับ แต่เป้าหมายเราอยู่อีกที่นึงครับ




Pike Place Chowder อยู่บน Post Alley เดินจาก Pike Pl จนถึงแยกเข้า Post Alley แล้วเดินไปอีกนิดก็เจอครับ ขอบอกว่า Clam Chowder อร่อยมวาาาาากกกกกกก กินแล้วไม่เลี่ยนครับ เพลินดี แต่อย่าไปเร็วนะครับ ผมไปตั้งแต่สิบโมงเช้า ต้องยืนกดดันเจ้าของหน้าร้าน 5555 วันที่ผมไปวันจันทร์ เพิ่งรู้ว่าร้านเปิด 11 โมงครับ


จากนั้นเราก็เดินเล่นใน Pike Place Market กัน ซึ่งก็อยู่ตรงข้ามนั่นเอง มาที่นี่ก็ต้องถ่ายรูปกับหมูตัวเก่งที่อยู่ด้านหน้าร้านขายปลาครับ มีให้หยอดเงินเป็นหมูออมสินด้วย 55 อยู่ตรงนั้นจะได้ยินเสียงโหวกเหวกขายของจากร้านขายปลานั่นเองครับ ร้านนี้โด่งดังมาก ใครมาที่นี่ก็ต้องผ่านร้านนี้ เพราะตั้งอยู่ในทำเลที่ดีที่สุด แต่ผมไม่รู้เหมือนกันว่าขายดีหรือเปล่า 555 นักท่องเที่ยวคงไม่ค่อยมีใครซื้อกุ้งหอยปูปลาสดๆ แล้วเดินหิ้วเที่ยวชมเมืองต่อนักหรอกครับ



แถวๆ Pike Place มีร้านขายผลไม้มากมาย ร้านขายปลาก็เยอะ ดอกไม้อีกมากมาย เรียกได้ว่าผมไม่เห็นทิวลิปที่ Skagit Valley ก็ได้มาเห็นที่นี่ครับ ฮ่าๆๆ ร้านขายผลไม้ที่อยู่ด้านนอกถนน ใกล้ๆกับหมูออมสิน มีคนขายที่เป็นฝรั่งแต่พูดไทยได้ด้วยนะครับ :)




ถ้าหันหน้าเข้าร้านขายปลา (ไม่ใช่ร้านในภาพบนนะครับ ร้านที่มีรูปปั้นหมูอยู่ด้านหน้าครับ) เดินไปทางซ้าย ลงบันไดไป ก็จะเห็นตรอกเล็กๆ กำแพงเป็นอิฐ มีสีสวยๆอยู่เต็มกำแพงไปหมด ให้ลองจับได้ครับ ที่นี่คือ Gum Wall เป็นกำแพงที่คนเอาหมากฝรั่งมาเคี้ยวแล้วมาแปะไว้จนเต็มผนัง เห็นๆขยะแขยงอย่างนี้ มันสวยนะ 5555



จากหน้าร้านขายปลาเช่นกัน เดินเลี้ยวหัวมุมไปทางซ้าย ก็จะเห็นร้านขายโดนัทชื่อ Daily Dozen ครับ หน้าตาโดนัทเหมือนโดนัทเคลือบน้ำตาลตามตลาดนัดบ้านเรา (จริงๆ Pike Place ผมว่ามันก็เหมือนตลาดนัดจตุจักร) แต่ที่พิเศษและทำให้โดนัทที่นี่ดังมากคือ texture ที่นุ่มมากๆ แต่ข้างนอกกรอบ เรียกได้ว่าเรียกน้ำย่อยผมไปได้ดีทีเดียวเลย กินแล้วอ้วนขึ้นอีกต่างหาก 555 ไขมันทั้งนั้น

จบจาก Donut เราก็ออกจากย่าน Pike Place เดินผ่านรูปปั้น Hammer man ที่ Seattle Art Museum (SAM) นั่งรถเมล์(ฟรี)ลง Transit Tunnel ป้าย University ไป Pioneer Sq เป้าหมายคือ Underground Tour ซึ่งเป็น Historic tour ค่าเสียหายคนละ $15 ราคานักเรียน $12 ครับ ฉะนั้นอย่าลืมพกบัตรนักศึกษามาด้วยครับ


Hammer man



Transit Tunnel เป็นอุโมงค์ให้รถเมล์และ Light Rail วิ่งร่วมทางเดียวกัน ประหยัดค่าก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินไปเยอะเลยครับ 


Occidental Park ใกล้ๆกับ Underground Tour Office ครับ

Underground Tour ก็ underground สมชื่อครับ ไกด์จะพาเราเดินทะลุไปยัง Underground Seattle ส่วนที่เคยเป็นเมืองเก่า และมีเหตุจำเป็น ส้วมตัน น้ำทะเลหนุน และไฟไหม้เมือง ทำให้ต้องสร้างเมืองใหม่ทับเมืองเก่าลงไป ฟังดูน่าตื่นเต้นดีครับ โดยรวมก็แนะนำให้มาชมครับ ไกด์พูดตลกดี และได้เห็นประวัติศาสตร์ของเมืองนี้แบบแปลกๆด้วย (เรื่องส้วมตัน 555) ไกด์ก็จะพาเราเดินลงไปใต้ดินจริงๆ แต่ไม่ได้พาเดินไปไกลมากนะครับ เป็นแค่รอบๆ Pioneer Square เท่านั้นเอง ผมคาดว่าจริงๆก็มีส่วนทะลุไปใต้เมืองได้ทุกที่ แต่ทาง Tour ก็จัดไว้ให้ชมเฉพาะบางส่วนพอให้ได้ซึมซับบรรยากาศ ประวัติศาสตร์เก่าๆของเมืองนี้ครับ




เสร็จจาก Underground ก็ไปหาอะไรกินที่ Ivar's เป็นพวกอาหารทะเลทอด fish and chips อะไรพวกนั้นครับ ก็พอประทังหิวไปได้นิดหน่อย ผมแพลนว่าจะปิดท้ายวันนี้ที่ Olympic Sculpture Park และ Space Center ครับ



Olympic Sculpture Park

ที่ Olympic Sculpture Park ก็มี Art สวยๆน่าเดินครับ แต่เนื่องด้วยวันนี้หมดแรงกัน เราเลยเดินเลยผ่านไป Space Needle กันอย่างรวดเร็ว Space Needle สร้างขึ้นเพื่อเป็น Landmark ในช่วงงาน Expo ปี 1962 นานมากเหมือนกันนะเนี่ย แต่ผมว่าสถาปัตยกรรมมันดูเด่นมากๆ และดูเข้ากับเมืองได้ดีเลย ถ้ามองจาก Kerry Park ที่พาไปในตอนแรก จะเห็นว่า Space Needle ไม่ได้เป็นส่วนเกินของเมืองเลยครับ วิวข้างบนก็สวยครับ ถ้ามาตอนกลางคืนจะวิวดีมาก ใช้ขาตั้งได้ด้วย (ผมใช้มาแล้ว เขาไม่ห้ามครับ) นานๆทีจะได้เห็นตึกที่อนุญาติให้ใช้ขาตั้งครับ



มุมจาก Kerry Park ตอนกลางคืน



ได้เจอ Space Noodle ตัวจริงเสียงจริงด้วยครับ ล้อกันเล่นๆ ไม่นึกว่ามันจะมีจริง 555 พี่แหวนถึงกับต้องขอถ่ายภาพเก็บไว้เลยทีเดียว


ถ่ายพี่โบภาพนี้เล่นเอาผมหน้ามืดไปเล็กน้อย เพราะเงยเยอะมาก 55

เราใช้เวลากับ Space Needle เพียงแป๊บเดียว เลยได้ไปปิดท้ายจริงของวัน ที่ University of Washington ซึ่งก็เป็นที่แรกที่เรามา เพราะว่าหนแรกที่มานั้นยังถ่ายซากุระไม่จุใจ คนเยอะ (แดดดีเกินไป) แต่พอมาเย็นวันจันทร์ มีเมฆบ้างนิดหน่อย แต่คนเงียบลงไปเยอะมากครับ ทำให้เราซึมซับบรรยากาศได้เต็มอิ่มจริงๆ และเห็นพ้องต้องกันว่า ซากุระที่นี่สวยกว่าดีซีอีก (จากคนที่ไปดีซีมาแล้ว)







อาหารเย็นวันนี้ก็ไม่ใช่ที่ไหนอื่นครับ ร้าน Little Thai Restaurant เจ้าเก่านั่นเอง ฝากท้องที่นี่ไว้วันแรก ก็มาฝากท้องวันสุดท้ายด้วยเช่นกัน อาหารอร่อย ราคาถูก และเจ้าของน่ารักมากๆครับ อยากให้มาเปิดสาขาแถวๆ Chapel Hill จริงๆเลย

และแล้วเราก็ต้องอำลา Seattle กันแล้วครับ กินอาหารอิ่มยังไม่ทันได้ย่อย ผมก็เร่งลูกทริปไปขึ้นรถเมล์ เพราะจะได้ไปสนามบินได้ทันเวลาครับ หลังจากวิ่งบ้าง เดินบ้าง แบกกระเป๋า(ที่ฝากไว้กับโรงแรมตั้งแต่ตอนเช้า)โทงๆ นั่ง Sound Transit และแล้วเราก็มาถึงสนามบินก่อนเวลาหนึ่งชั่วโมงพอดี :)

ทริปนี้ผมขอขอบคุณพี่ๆที่ไปด้วยกันทุกคน ทั้งแกงค์ UNC Radiology พี่แหวน พี่เจเจ พี่เชษฐ์ พี่ Mateus ขอบคุณพี่เชษฐ์และ Mateus ที่ช่วยขับรถให้อย่างดี หวังว่าแพลนผมคงไม่ทำให้พี่ขับเหนื่อยเกินไป ขอบคุณพี่ยุ พี่โบ น้องหวาน อาหารอร่อยมากครับ และขอบคุณน้องแก้วที่มาเที่ยวด้วยกัน แม้ว่าจะต้องอ่านหนังสือไประหว่างนั่งรถ 555 ช่วยแนะนำอาหารอร่อยมากมายรอบ Pike Place พาเดินรอบมหาลัย และคอยช่วยบอกทางทุกอย่างทุกครั้งที่พี่มา Seattle พี่เลยขายให้เลนส์มาโครเป็นของขอบคุณ :)

ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ ไว้เจอกันในเรื่องราวของทริปหน้าครับ

พี

ทิ้งท้ายด้วยภาพเก่าๆที่ผมเคยถ่ายไว้เมื่อเกือบปีครึ่งแล้ว มุมนี้ถ่ายจาก Doctor Jose Rizal Park นั่งรถเมล์จาก International District ราวๆสิบถึงสิบห้านาทีเองครับ แต่ถ้าไปคนเดียวต้องระวังหน่อยนะครับ เพราะว่า area ตรงนี้ไม่ค่อยปลอดภัย (โชคดีที่ผมไปคนเดียวแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น)

Saturday, April 23, 2011

Washington: the evergreen state ตอน 2

ออกจากเมือง Mt. Vernon ผมก็มุ่งตรงไปที่ Olympic National Park ครับ นอกจากการคมนาคมทางรถจะไปได้ทุกที่แล้ว รัฐ Washington ยังมีเรือ ferry อยู่หลายเส้นทางที่ช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางได้มากทีเดียวครับ ขับรถเข้าไปบนเรือได้เลยครับ ซึ่งเรือนี้ก็ช่วยลดระยะทางผมจาก 200 mi เหลือแค่ 95 mi เองครับ สะดวกมากๆ จากตรงนี้มีผิดแผนเล็กน้อย ผมมาถึง ferry ระหว่าง Keystone-Port Townsand ก่อนเวลาตั้ง 45 นาทีครับ เลยหาที่เที่ยวแวะขำขำรอบๆท่าเรือ ซึ่งก็มีป้อมเก่าๆชื่อ Fort Casey ก็เลยแวะไป กะว่าสัก 20 นาทีก่อนเรือออกค่อยแวะมาใหม่ แต่ปรากฏว่าพอมาถึงมีรถต่อคิวยาวเหยียด พอเรือมาถึง รถก็ค่อยๆต่อคิวกันขึ้นไปทีละคันสองคัน ด้วยเรือลำนี้ไม่ใหญ่มาก ทำให้มีจำนวนจำกัดที่ได้ขึ้นเรือ และคันสุดท้ายที่ได้ขึ้นเรือก็คือคันก่อนหน้าผมครับ โอว จอร์จ ทั้งๆที่มาก่อน นี่ต้องรอรอบต่อไปหรือนี่ เป็นบทเรียนครับว่าอย่าได้ประมาทคิวข้ามเรือ ferry เลยทีเดียว ผมเลยต้องรออีกหนึ่งชั่วโมง เสียเวลาเดินเตร่รอบๆท่าเรือได้หนำใจเลยทีเดียวครับ พอรอจนถึงบ่ายโมงครึ่ง เรือ ferry ก็มาถึงครับ ผมเป็นคันแรกสุด ไม่ได้ขึ้นเรือก็ให้มันรู้ไป 555


จะเห็นว่ามีรถคันก่อนหน้าผมครับ คันเหล่านี้เป็นกลุ่มที่ reserve มาก่อน (มีแบบนี้ด้วย) ถ้าวางแผนการเดินทางดีๆ ก็จะไม่ตก ferry แบบผมครับ ฮาาาาา 


อยู่บน ferry น้องแก้วก็ยังขยันได้อีกกกกกกกก แต่คงไม่ได้อ่านหนังสือ เพราะพวกพี่เมาท์กัน ฮ่าๆๆ

ออกจาก Port Townsend ก็ขับไปที่ Port Angeles ครับ แถวนี้มี Port กันเยอะเหลือเกิน Port Angeles เป็นเมืองริมทะเล แต่เป้าหมายที่มาที่นี่เพราะว่าที่นี่มี Olympic National Park Headquarter ครับ โชคดีที่ผมมาก่อนที่ทำการปิดเพียงสิบนาทีพอดี ถือโอกาสมาขอข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับอุทยานครับ ทั้ง Trail conditions แล้วก็ตารางน้ำขึ้นน้ำลง (Tide Chart) ซึ่งมีประโยชน์มากๆสำหรับจะไปเที่ยวโซนริมทะเลครับ และอย่างน้อยผมก็จะได้ชื่นใจว่าป่าที่นี่เขียวแล้ว ผมห่วงว่าช่วงออกจากหน้าหนาวใหม่ๆ มอสอาจจะยังไม่เขียวมากเท่านั้นครับ

Olympic National Park ชื่อนี้ฟังดูเหมือนจะเกี่ยวกับกีฬาโอลิมปิค แต่ไม่เกี่ยวนะครับ 555 ที่นี่เป็นอุทยานที่มีหลักๆสองส่วน คือส่วนที่เป็นภูเขาสูงกับป่าดิบ อีกส่วนคือริมทะเลครับ เนื่องจากว่าที่นี่ตั้งอยู่บริเวณรับลมมรสุมพอดี ทำให้ฝนตกเยอะมาก อากาศชื้นมาก กลายเป็นอุทยานที่เขียว อุดมสมบูรณ์มากครับ มาที่นี่ก็ต้องทำใจเพราะว่ามีแต่ ฝน หมอก ฝน และหมอกครับ ยิ่งมาช่วง Early Spring อย่างที่ผมมาด้วยแล้ว ฝนตกล้านเปอร์เซนต์ครับ 555 แต่ผมก็กะเตรียมใจมาเจอฝนอยู่แล้ว เพราะยิ่งฝนตกมากเท่าไหร่ ป่ายิ่งเขียวและอุดมสมบูรณ์มากขึ้นด้วย ถ้าใครเคยดูหนัง Vampire Twilight ที่นี่แหละครับ สถานที่ถ่ายหนังเรื่องนี้ แต่พอดีผมไม่เคยดู เลยไม่ได้อิน และไม่ได้หา location ไว้ไปตามรอยหนัง :) อีกส่วนของอุทยานนี้เป็นริมทะเล ซึ่งก็จะดูแปลกตาไม่เหมือนชายทะเลบ้านเราครับ เพราะว่าจะเห็นเป็นเนินเกาะมากมาย ดังภาพตัวอย่างครับ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะฝน น้ำและลมทะเลกัดเซาะจนเป็นเกาะขึ้นมานั่นเองครับ

ภาพจาก google search

เนื่องจากว่าสายกันเพราะตกเรือ ferry 555 เป้าหมายสำหรับวันนี้เลยมีแค่ Sol Duc Waterfall ชื่อฟังดูเหมือนเกาหลีไหมครับ ตอนแรกผมเข้าใจว่าคนเกาหลีมาค้นพบแน่เลย ฮ่าๆ ขับไปราวๆชั่วโมงจากที่ทำการครับ เส้นทางช่วงแรกๆก็จะเลียบทะเลสาบ Lake Crescent ซึ่งน้ำใสสีสวยมากๆ ยิ่งถ้ามีแดดคงออกสีสวยทีเดียว แต่.... แต่....ทริปนี้ฝนตกทุกวันครับ 555 ไม่เป็นไร เราเข้าป่ากันแทน พอเริ่มเข้าถนนที่แยกไป Sol Duc ก็จะเริ่มเห็นป่าที่เขียวขึ้นๆ จนผมอยากจะจอดข้างทางเข้าไปถ่ายป่าข้างทางเหลือเกิน มอสมันคลุมป่าเขียวมากๆ



Sol Duc Waterfall จะต้องเดิน trail ราว 1 ไมล์ครับ ไม่ไกลมาก แต่ด้วยที่ผมมาช่วงต้นเดือนเมษา นอกเสียจากจะไม่มีทิวลิปแล้ว ยังมีหิมะบน trail อีกด้วย ตอนแรกผมคิดว่า Sol Duc อยู่ที่ความสูงไม่สูงมาก หิมะน่าจะละลายแล้ว ซึ่งถ้าไป Hurricane Ridge ซึ่งเป็น Ranger Station ที่เที่ยวอีกจุดนึงซึ่งอยู่สูงกว่ามาก คงมีแต่หิมะเต็มไปหมดรอบตัวเลยครับ หิมะทำให้เราเดินไปกันอย่างช้าๆ ชมป่าเขียวๆที่แต้มด้วยหิมะก็เพลินไปอีกแบบครับ


พี่ยุกับน้องหวานยังยิ้มถ่ายรูปได้ตลอดเวลา แม้ trail จะเดินลำบาก


และที่นี่เอง ผมก็ได้เห็นป่าห่มเสื้อ เหมือนดอยอินทนนท์เลยครับ แต่นี่นี่ดูจะหนาวกว่า ต้นไม้เลยห่มผ้าหนากว่าครับ :)



ระหว่างทางก็จะเห็นลำธารเล็กๆ เป็นมุมเล็กๆที่พิเศษ เพราะว่ามันคลุมไปด้วยมอส มอส และมอสครับ เขียวมากๆ ผมถ่ายตรงนี้นานมากทีเดียว ตื่นเต้น ไม่ค่อยได้เห็นน้ำตกมอสเขียวขนาดนี้ เสียดายที่หิมะเยอะไปนิดนึงครับ ไม่อย่างนั้นคงดูชอุ่มกว่านี้อีกมากเลย



หลังจากถ่ายรูปมอสจนหนำใจ จนผมเดินรั้งท้าย 555 ก็มาถึงเป้าหมายของวันนี้ครับ นั่นคือ Sol Duc Waterfall ซึ่งก็น่าเสียดายที่หิมะเยอะไปหน่อย ปกติน้ำตกนี้จะเขียวกว่านี้มากครับ มีมอสคลุมเต็มไปหมดเลย แถมยังมีท่อนไม้ล้มขวางมุมอีก น้ำแรงมากเพราะฝนตกตลอดเวลาครับ ลองดูความเขียวเปรียบเทียบกันนะครับ แนะนำว่าควรจะมาช่วงปลายเดือนเมษา จนถึงพฤษภาคมครับ หลังจากนั้นคนจะเริ่มเยอะแล้ว เพราะเด็กปิดเทอม เที่ยวไม่สนุกครับ น้ำตกที่นี่ถ่ายไม่ยากครับ เนื่องจากแดดไม่ค่อยส่องที่ตัวน้ำตก ทำให้ contrast ไม่มาก ขอเพียงแค่มีขาตั้งกล้อง เปิดชัตเตอร์ราวๆ 1 วินาที แล้วแต่ความแรงของน้ำครับ ถ้าเปิดนานไปก็จะขาวไปอีก กะให้พอมี detail บนสายน้ำจะกำลังดีครับ ผมชอบน้ำตกนี้ตรงที่เหมือนมีสามสายน้ำอยู่ที่เดียวกัน และตกลงมาในโตรกผาแคบๆ ดูแปลกตาดีครับ


เปรียบเทียบกับคนที่มาช่วงเวลาที่ดีกว่า ถ่ายสวยกว่าผม 55



มองไปด้านหลังจะเห็นโตรกผาที่มีน้ำแรงๆไหลมาจากน้ำตกครับ

ถ่ายภาพในป่าที่นี่ ขาตั้งสำคัญมากๆครับ  เพราะว่าป่าที่นี่มืดมาก ต้นไม้แน่นมาก ทำให้แสงไม่พอครับ ยิ่งผมใส่ C-PL เพื่อความเขียวสดของป่าแล้ว แม้จะมี VR ก็ไม่สามารถช่วยให้ภาพไม่สั่นไหวได้เลยครับ ระหว่างขากลับ แน่นอนว่าผมต้องแวะถ่ายลำธารเมื่อกี้อีกรอบ มาเก็บมุมที่นึกออกที่อยากถ่าย ซึ่งก็มุมเสยนั่นเองครับ แน่นอนว่า CPL เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ และอย่าลืมว่าต้องไม่เปิด speed นานเกินไปนักจนสายน้ำขาวเกินไป



เย็นวันนี้เราอิ่มเปรมด้วยอาหารไทยรสแซ่บจากพี่ยุ แม่ครัวใหญ่ และพี่ๆคนอื่นอีกมากมายที่ร่วมลงแรงทำครัวตามที่ผม request ตั้งแต่จัดทริปแล้วครับ ผมจองโรงแรมแบบมีห้องครัวไว้เผื่อเลย เราพักที่ Forks Motel ครับ ห้องที่มีห้องครัว มีสามเตียง นอนได้หกคน ถือว่าใหญ่มากๆเลย


พี่เจเจ พี่โบว์ พี่เชษฐ์


พี่ยุ แม่ครัวใหญ่ สงสัยยิ้มถ่ายรูปนี้นานไปนิด เลยทำพริกป่นหกใส่ลาบ 555


สังเกตครับว่าลาบจานด้านหน้าสุด พริกหนักหน่วงมากกกกก

อาหารรสแซ่บมาก ขอบอกว่าฝีมือนักเรียนทุนรัฐบาลนี่ไม่เป็นสองรองใครเลยจริงๆ ทั้งต้มแซ่บ ลาบหมู ผัดกระเพรา อร่อยสุดๆ แถมยังมีข้าวเหนียวหมูทอดสำหรับมื้อกลางวันของอีกวันด้วย

เมืองที่เราพักกันวันนี้เป็นเมืองเล็กๆทางด้านตะวันตกของอุทยานครับ ชื่อเมือง Forks เมืองนี้จะไม่ดังเลย ถ้าไม่มีหนัง Twilight ครับ เพราะหนังเรื่องนี้มาถ่ายที่เมืองนี้เป็นสถานที่หลัก เห็นเขาว่าคนแต่งเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจจาก area นี้เพราะว่ามีแต่ฝนและหมอก ไม่มีแสงแดด เหมาะสำหรับ Vampire มาก ทำให้ที่นี่เป็นจุดหลักในการดำเนินเรื่องครับ และก็แน่นอนว่าต้องมีทัวร์ตามรอยหนังด้วย มีโฆษณาอยู่ทั่วเมืองครับ ช่วงปีสองปีมานี้เมืองนี้คงเปลี่ยนไปมากเลยทีเดียว มีของที่ระลึกเกี่ยวกับหนังมากมายตาม Supermarket ดูแล้วก็สนุกไปด้วยครับ ซึ่งผมไม่เคยดูหนัง ก็จะพาลูกทริปผ่านเมืองนี้ไปอย่างรวดเร็ว 555

ตอนเช้าของวันอาทิตย์ เราออกกันสายหน่อย เพราะผมกลัวว่าจะเหนื่อยกันเกินไป วันนี้ไปเดินป่าที่เป็น hilight ของอุทยานนี้ ชื่อว่า Hoh Rain Forest ครับ ชื่อฟังดูเหมือนเวียดนาม 55 ผมก็ไม่ทราบประวัติการตั้งชื่อเหมือนกัน ที่นี่มี Trail หลักๆที่สั้นพอเดินได้อยู่ 3 trail ครับ เราเลือกเดิน trail ระยะกลาง ประมาณหนึ่งชั่วโมงเศษ (แต่เอาเข้าจริงๆ ผมถ่ายรูปหนักหน่วงไปหน่อย มันเลยกลายเป็นสองชั่วโมงกว่า ฮาาาาา) ชื่อว่า Hall of Moss ครับ ซึ่งก็เป็น Hall จริงๆ เพราะตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบเข้า Trail นี้ก็เห็นความเขียวไปรอบตัวแล้ว ต้นไม้ใส่เสื้อสูท เสื้อผ้าลูกไม้กันทุกต้นเลย


พี่แหวนดูตัวเล็กลงไปเลยเมื่อเทียบกับต้นไม้ใหญ่ที่นี่



เห็นพรมเขียวๆแบบนี้ผมเกือบจะลงไปนอนกลิ้งแล้วครับ ยังดีที่นึกได้ทันว่ามันเปียกนะ 55


ถ้าคนที่ชอบธรรมชาติ ชอบต้นไม้ ผมรับรองว่าที่นี่เป็นแดนสวรรค์เลยครับ ป่ามันสวยมากจริงๆ hilight ของ trail นี้จะอยู่ตรงต้น maple tree zone ครับ (เจ้าหน้าที่เขาว่าอย่างนั้น) ซึ่งก็อลังการมากจริงๆ เป็นต้นไม้ใหญ่ราวๆสี่ห้าต้นที่สูงมาก และคลุมไปด้วยมอสทั้งต้นครับ


ภาพบนถ่ายจากด้านนอกของ trail ที่จะผ่านไปในดง maple ครับ พอเดินเข้าไปแล้วจะสัมผัสได้เลยว่ามันอลังการสุดๆเลยทีเดียว



เทคนิคในการถ่ายภาพป่าให้เขียวของผมไม่ยากครับ นอกจากจะใช้ CPL แล้ว ต้อง set white balance ให้ถูกด้วย ถ้าเซตเป็น Daylight ภาพจะออกเหลืองหน่อย ผมก็เลือก WB ตัวนี้ แต่ว่าดัน shift ไปทางเขียวสักสองสามขีดครับ ภาพก็จะได้เขียวอมเหลืองนิดๆ ดูชอุ่มมาก แต่อย่าเอาไปถ่ายคนล่ะครับ เพราะคนจะเขียวกลายเป็น vampire ไปด้วยเลย 5555 ผมก็เปลี่ยน WB กลับไปกลับมาบ้างครับ หลังๆเริ่มขี้เกียจ 


ภาพหมู่กันซักหน่อย



พี่โบเป็นนางแบบประจำกล้องผมเยอะมากครับ เพราะว่าเดินชมธรรมขาติไปเรื่อยๆ ไม่รีบเหมือนกัน


ช่วงใกล้ๆจะออกจาก Loop trail จะผ่าน swamp ครับ ซึ่งก็ดูอุดมสมบูรณ์มากเลย มีพี่ที่เดินกลุ่มข้างหน้าเจอนากด้วย 


ถ้าเก้าอี้เขียวๆ นุ่มแบบนี้ไปทั้งโลกคงดีนะครับ



หลังจากเข้าป่ากันแล้ว เราก็แวะไปริมทะเลกันสักหน่อยครับ เดี๋ยวจะเหมือนไม่ได้มาครบทั้ง park ที่นี่มีหาดหลายที่ที่สวยมาก เช่น Second Beach, Rialto Beach, Ruby Beach ผมเลือก Ruby เพราะว่าอยู่ใกล้กับ Hoh rain forest ครับ ขับรถไปอีกนิดเดียวเอง ผมเลือกไปช่วงเวลาน้ำลงต่ำสุดพอดี ซึ่งจะได้ไปเดินบนชายหาดด้วย ฉะนั้น Tide Chart สำคัญมาก ทำให้เราแพลนจุดที่จะไปต่างๆได้คุ้มครับ แต่ด้วยสภาพอากาศไม่ค่อยดี เราเลยแวะที่นี่ไม่นานครับ ถ้ามีโอกาสมาช่วง Summer อาจจะเจอฟ้าใสๆบ้าง แสงไม่สวย ต่อให้กล้องดีแค่ไหนก็ถ่ายภาพสวยได้ยากครับ มันคือสัจพจน์ :)

ระหว่างทางออกจาก Hoh เราก็แวะข้างทางกันสักหน่อย ป่ามันเขียวมากๆ อยากไปยืนสูดลมหายใจตรงนั้นนานๆ




ที่ Beach ไม่ค่อยมีอะไรครับ เดินข้ามไปไม่ได้ด้วยเพราะน้ำแรง



จุดสุดท้ายของวันนี้ ก่อนที่เราจะซิ่งรถกลับ Seattle ก็คือ Marymere Fall ครับ ตอนแรกกะจะข้ามไป เพราะเราเสียเวลากับ ​Hoh และ Beach มากันเยอะพอควร แต่ผมก็อดใจไม่ไหว ขอเห็นน้ำตกซักหน่อยน่าทางแยกเข้า Marymere Fall จะอยู่ที่ Lake Crescent Lodge ครับ ซึ่งขากลับผมก็ผ่านทางนี้อยู่แล้ว ไม่เป็นการอ้อมแต่อย่างใด ตัว trail ก็เดินราบๆไปหนึ่งไมล์ ไม่ไกลมาก มีชันช่วงสุดท้ายนิดหน่อยราวๆสองร้อยเมตรเท่านั้นเอง ซึ่งการตัดสินใจนั้นก็คุ้มค่าครับ ขนาดห้องน้ำตรงที่จอดรถ ณ จุดเริ่มเดินยังโชว์ความเขียวให้เราเห็นแล้ว ดูภาพไปเพลินๆนะครับ 


ห้องน้ำครับ (ก็ยังถ่าย)




ระหว่างทางเราต้องลอดอุโมงค์กันบ้าง เจอต้นไม้ใหญ่ด้วย ไปโอบกันหลายคนเลย 555




หลังจากเดินมาราบๆ ก็ต้องขึ้นเนินด้วย สังเกตว่าจะเริ่มพักถ่ายรูปกันบ่อยขึ้น 555




ถ่าย Matheus นายแบบบราซิล เพื่อนร่วมทริปชาวต่างชาติที่ฟังภาษาไทยออกและรู้เรื่องครับ แม้เค้าจะไม่เข้าใจภาษาไทยเลยก็ตาม 555 เอ๊ะ ยังไง


และแล้วเราก็มาถึง Marymere Fall ฝนตกพอดี ถ่ายรูปยากนิดหน่อยครับ ถ่ายไปเช็ดหยดน้ำบนหน้าเลนส์ไป แน่นอนครับ กล้องเปียกไปจนเช็ดยังไงก็ไม่แห้งแล้ว แต่เพราะฝน ทำให้ป่ามีชีวิตขึ้นมากครับ มาเที่ยวป่า เหมือนได้ฟื้นคืนชีวิตสดชื่น 

ป่าสมบูรณ์ คนก็สมบูรณ์ครับ



น้ำตกใหญ่กลางป่า


Trail ที่นี่ทำไว้เป็นระเบียบ เดินง่ายมากๆ


ภาพสุดท้ายเป็นภาพที่ผมชอบมากๆครับ ได้เห็นทั้งความเขียว เม็ดฝน ต้นไม้สูงสูดฟ้า และมีหมอกจางๆ ดูอุดมสมบูรณ์มากครับ

หลังจากน้ำตกนี้ เราก็ต้องรีบทำเวลาไปขึ้น Ferry อีกเส้นนึง เพื่อมุ่งหน้ากลับ Seattle กันแล้ว ต้องอำลาป่าดงดิบเขียวๆที่ Olympic National Park แล้วล่ะครับ คราวนี้ ferry ลำใหญ่มากกว่าหนก่อนตั้งสองเท่าตัว เราไม่มีตกเรือกันอีกแล้ว 555 เพราะถ้าตกลำนี้ คงไปคืนรถเช่าไม่ทันแน่นอน

บนเรือ เราจอดรถไว้ด้านล่างแล้วขึ้นมานั่งพักด้านบนครับ แม้ว่าจะดูหมดแรงกันเพราะว่าเดินมาหลาย trail ตลอดสองวันที่ Olympic (โดนผมพาหลอกเดิน ฮ่าๆๆ) แต่ยังไม่หมดแรงถ่ายรูปครับ 555


พี่ยุ พี่โบเริ่มทอดน่อง


รูปคู่รูปเดียวกับน้องแก้วที่พอจะเอาไปโชว์ให้พ่อกับแม่ดูได้ 55


พี่เจเจ และพี่แหวนดูไม่เหนื่อยเลยฮะ

ตอนหน้า ตอนสุดท้าย จะพาไปกิน ไปเดินเล่นใน Seattle กันต่อให้ครบครับ 

ขอบคุณที่ตามอ่านครับ

พี