Pages

Monday, August 8, 2011

Alaska : Adventure in the Last Frontier #2


จากหลังจากรับน้องที่ Exit Glacier :) และ Kenai Fjord cruise ผมก็ร่ำลาเมือง Seward มุ่งหน้ากลับมา Anchorage อีกครั้ง เพราะว่าเมืองอื่นในแถบนี้ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจมากนัก จะมีก็ Whittier ซึ่งถ้าจะไปก็คงเป็นการล่องเรือใน Price William Sound ที่ผมไม่อยากเสียเงินมากนักครับ(จนอยู่) ใช้ถนนเส้นเดิมคือ Seward Highway วิ่งกลับมาที่ Anchorage หนนี้ผมตั้งใจว่าจะไม่หลับแล้ว ต้องเห็นวิวสวยๆให้ได้ แต่ดูอากาศจะไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่ วันที่หลับบนรถ ฟ้าดันใส 5555


Turnagain Arm ระหว่างทางกลับครับ ถนน Seward Highway เลียบอ่าวนี้เลย ช่วงนี้น้ำลงครับ เห็นลายของสันดินด้วย


กว่าจะเสร็จจาก cruise และจัดการเก็บของต่างๆออกจาก hostel ก็ปาเข้าไปเกือบๆหกโมงเย็น แต่แสงสว่างยังมีอีกเหลือเฟือจนถึงเที่ยงคืนครับ ฉะนั้นการถ่ายรูประหว่างทางกลับ Anchorage ก็ไม่เป็นปัญหามากนัก ปัญหาเดียวคือผู้ร่วมทริปจะได้นอนดึก (อีกแล้ว 555) และคืนที่ Anchorage ก็นอนที่ hostel (เข้าที่พักดึกอีกแล้ว) จัดแจงทานอาหารเย็นให้เสร็จกันตั้งแต่ Seward เลย ระหว่างทางกลับนี้พวกผมแพลนว่าจะขอแวะเข้าไปที่ Portage Glacier ซึ่งอยู่ทางไป Whittier แยกออกไปราวๆ 10 ไมล์เท่านั้นครับ และว่าจะแวะจุดชมวิวต่างๆรายทางบน Seward Highway ให้ครบ

จริงๆแล้วถนนที่ไป Whittier นี้จะแปลกกว่าที่อื่นๆหน่อยครับ เพราะเมือง Whittier อยู่อีกด้านของภูเขา เมื่อก่อนหากจะมาจาก Anchorage สามารถเข้าถึงโดยทางเรือ หรือทางรถไฟเท่านั้น มีอุโมงค์รถไฟตัดผ่านภูเขาอยู่ครับ แต่ปีหลังๆนี้ได้เปิดอุโมงค์รถไฟให้รถวิ่งร่วมกันด้วย แต่อุโมงค์นั้นมีขนาดเล็กมาก และค่อนข้างยาว ถนนมีเลนเดียว ฉะนั้นก็ต้องมีการเปิดปิดให้รถวิ่งสลับกันเป็นเวลา และยังต้องปิดการจราจรให้รถไฟวิ่งด้วย (เป็นอุโมงค์สารพัดประโยชน์มาก) ใจจริงผมก็อยากลองขับวนเข้าไปใน Whittier เพื่อชมเมืองเล่นๆเหมือนกัน แต่กลัวจะเสียเวลา และต้องเสียเงินค่าผ่านทางอีก $12 เลยต้องขอบายไป ณ ที่นี้ 555


ทางก่อนเข้าอุโมงค์ครับ ภูเขารอบด้านเลย เลยโค้งนี้ไปก็เห็นอุโมงค์แล้วครับ

ผมยืม google maps มา เลือกเป็น terrain เผื่อจะได้มองภาพภูเขารอบๆ Anchorage ได้ชัดขึ้นครับ


จากแผนที่จะเห็นว่า Whittier อยู่อีกด้านของภูเขาจริงๆ ถ้าไม่มีอุโมงค์ก็คงไม่มีหนทางตัดเชื่อมไปสู่ Prince William Sound เลย สภาพภูมิประเทศของอลาสกาก็เป็นภูเขาแบบนี้เกือบ 75% ครับ ทำให้การตัดถนนทำได้ยากมาก ถนน Seward Highway ก็คือเส้นดำๆที่มาจาก Anchorage มาที่ Seward เลาะภูเขาและ Turnagain Arm มานั่นเองครับ ก่อนถึง Whittier เล็กน้อยจะเห็น lake เล็กๆ นั่นคือ Portage Lake อยู่ตรงทางเข้าอุโมงค์พอดี ซึ่งน้ำแข็งจาก Portage Glacier จะละลายลง lake นี้ครับ


Portage Glacier


การชม Portage Glacier ก็ไม่ยากครับ สามารถชมได้จากริมถนน ก่อนถึงอุโมงค์เล็กน้อย หรือจะล่องเรือไปได้ครับ มี shuttle cruise บริการในราคาไม่แพง แต่พวกผมมาถึงช้า หลังหกโมงเย็นไม่มีเรือแล้วครับ ก็พอได้เห็น Glacier ไกลๆในวันที่อากาศหมองมัวเท่านั้นเอง

ไม่เป็นไร มาเดินเล่นตามจุดชมวิวรายทางดีกว่าครับ


ใกล้ๆกับ Portage Glacier มีทะเลสาบ น้ำสีฟ้าใสมากเลยครับ


หนองน้ำข้างทาง


อันนี้ก็ Glacier ข้างทาง 5555


ทางรถไฟที่เลียบถนน เป็นเพื่อนร่วมทางครับ สายนี้วิ่งจาก Anchorage to Whittier/Seward/Homer

และสุดท้ายพวกผมก็มาถึง Anchorage เกือบเที่ยงคืน (อีกแล้ว) ที่พักวันนี้คือ Arctic Adventure Hostel ครับ ที่พักดีทีเดียว มี private room ให้ ห้องน้ำสะอาด อาหารเช้าฟรี แต่เกือบไม่ได้เข้าพักเพราะเจ้าของ hostel ไม่ค่อยยินดีให้ check-in ตอนดึกสักเท่าไหร่ แต่ด้วยเดชะบุญที่เขาชอบคนไทย คนไทยนิสัยด้วย ความเป็นคนไทยเลยช่วยได้ครับ คนไทยเราไปที่ไหนก็มีน้ำใจ ผมว่าฝรั่งประทับใจทุกครั้งที่ได้รู้จักแน่นอนครับ และมีประโยชน์ทางอ้อม สร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อประเทศอีกด้วยครับ :)

เช้าวันที่สาม แพลนของวันนี้คือขับออกจาก Anchorage มุ่งหน้าไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ปลายทางอยู่ใกล้ๆเมืองชื่อ Glennallen ครับ แต่ที่พักของวันนี้อยู่ถึงก่อน Glennallen หนึ่งชั่วโมง เพราะว่าที่พักในเมืองแพงในช่วงนั้นครับ

รอบๆ Anchorage มีจุดชมวิวเยอะอยู่ครับ อย่างเช่น Earthquake park ที่จะเห็นตัว downtown สะท้อนน้ำ และมีฉากหลังเป็นภูเขาหิมะด้วย แต่ต้องจอดรถแล้วเดินไปพอควร (ระวังยุงด้วยนะครับ) ผมเองไม่ได้ไปถ่ายที่จุดนี้มา เพราะว่าอากาศไม่ดี และแสงหมดเสียก่อนที่จะเดินถึงมุมนั้นครับ ส่วนทางด้านตะวันออกของเมืองก็จะมี State Park ที่ใหญ่มากๆชื่อ Chugach State Park ครับ ที่นี่มี trail มากมาย และยังมีข้อมูลบอกอย่างละเอียดยิบ ไม่น่าเชื่อว่าเป็นแค่ state park แต่บอกละเอียดดีกว่า National Park บางแห่งเสียอีกครับ (มีหนังสือภาพของ Carl Battreall แนะนำด้วยครับ ภาพสวยมากทีเดียว ถ่ายใน Chugach state park ทั้งหมดครับ)

link นี้รวม trail ทั้งหมดไว้ครับ http://dnr.alaska.gov/parks/units/chugach/trails.htm
ผมเองตอนแรกแพลนไว้ว่าจะไปเดินหลาย trail เลย แต่มาเปลี่ยนใจทีหลังเพราะต้องเผื่อวันนึงไว้ไป Kayak ที่ Valdez ด้วย เลยต้องจำใจตัดไป เหลือแค่ trail สั้นๆใกล้กับ Eagle River ครับ

ขับรถจาก Anchorage มาไม่ไกลก็จะถึง Eagle River และเราก็ตรงไปที่ Eagle River Nature center ทันที และเลือก loop trail สั้นๆอย่าง Rodak Nature loop (0.7 ไมล์) ตอนแรกว่าจะเดิน Albert Loop (2.8 ไมล์) แต่ว่ามันไกลไปนิดครับ อากาศวันนี้ไม่ค่อยดี เดินยาวไม่คุ้มเท่าไหร่ เมฆเยอะมาก อีกทั้งยังลอยต่ำ บังจนไม่เห็นภูเขาเลย


ป่าที่นี่ก็เขียวมากๆเลยครับ


ระหว่างทางเดินครับ มี wildflowers ขึ้นเยอะมากๆ เพราะหน้าหนาวเพิ่งผ่านพ้นมาไม่นาน ตรงนี้อยู่ในส่วนของ Albert Loop ครับ ซึ่งเราเดินไปสักพักก็ย้อนกลับ เพราะกลัวเสียเวลาครับ


เดินไปสักพักก็จะเจอหนองน้ำให้ชมวิวครับ จริงๆมุมนี้ด้านหลังจะเป็นภูเขาหิมะที่สวยมาก แต่วันนี้อากาศไม่ดีครับ เสียดายมากเหมือนกัน


นับเป็นโชคดีของวันนี้ ตอนพวกผมกำลังจะเดินครบรอบ Rodak trail ก็มีคุณป้าคนนึงมาทัก แล้วบอกว่า กำลังจะมี Bird organization ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงกำไร มาปล่อยนกอินทรีคืนสู่ป่าในอีกสิบนาที (กระทันหันสุดๆ) ให้เดินไปที่จุดชมวิวริมน้ำที่อยู่บน Rodak trail ครับ เอาล่ะวะ เดิน trail รอบที่สองก็ได้ 5555



ก่อนปล่อยนก ก็มีเจ้าหน้าที่บรรยายครับว่านกตัวนี้เป็นยังไงมาจากไหน นกตัวนี้พบใกล้ๆเมือง Valdez บาดเจ็บอยู่ ทางศูนย์ก็นำมาเลี้ยงดู แนะปล่อยคืนสู่ป่าในวันนี้ครับ นับเป็นโชคดีมากๆที่ได้เห็นนกอินทรีใกล้ๆเลยทีเดียว (แต่ก็ไม่ใกล้พอที่ผมจะใช้ 200mm ส่องได้ถนัดนัก)



ถ่ายรูปกันไม่หยุดเลยครับ



ออกจาก Eagle River เราก็วกกลับเส้นทางเดิมคือ Glenn Highway มุ่งหน้าไปยังเมือง Palmer ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่อยู่ใกล้กับ Anchorage ครับ เลยจากเมืองนี้ไปก็จะไม่มีเมืองใหญ่อีกแล้ว ไม่มี supermarket ใหญ่ๆอีกแล้ว ย้ำ...อีกแล้วครับ เพราะมันไม่มีจริงๆ เลยจากนี้ไปก็ต้องเป็นที่ Valdez หรือไม่ก็ Fairbanks อย่างเดียวเลยครับ แน่นอนว่าไม่มีทางเห็น Safeway หรือ Walmart แน่นอน เมืองนี้เลยเหมือนจะเป็นเมือง option สุดท้ายที่จะตุนเสบียงครับ แต่ผมว่าไปตุนเอาที่ APA Asian Market ใน Anchorage ดีกว่า :P

มีสองเรื่องที่ต้องคำนึงสำหรับการขับรถในอลาสกาครับ นอกจากเมืองใหญ่ๆจะห่างกันมากแล้ว เมืองเล็กก็ยังห่างกันอีกด้วย ปั้มน้ำมันก็ห่างกัน ฉะนั้นก่อนที่จะออกจากเมืองๆนึง หรือขับผ่านปั้มใดก็ตามควรแน่ใจว่าน้ำมันเราจะมีเพียงพอที่จะไปถึงเมืองถัดไป เผื่อจอดแวะ เผื่อหลง เผื่อขับย้อนตามหาสัตว์ ตามหาแสง ตามหามุมถ่ายรูป (อันนี้หลังๆนี่เฉพาะตากล้องครับ 5555) ผมเองก็เตรียมใจเรื่องปั้มน้ำมันน้อยมาแล้ว ก็แพลนเรื่องเติมน้ำมันไว้ดี ซื้อถังน้ำมัน 5 gallons เผื่อไว้ตั้งแต่ Anchorage เลย :) แต่ก็ลืมคำนึงไปว่าถ้าปั้มน้ำมันห่างกัน ห้องน้ำก็ต้องห่างกันด้วย ฉะนั้นแวะเติมน้ำมันแล้ว อย่าลืมแวะเข้าห้องน้ำด้วยนะครับ ดีกว่าไปเข้าตามส้วมหลุม ที่แม้จะดูสะอาดแต่ก็ไม่ค่อยน่ารื่นรมย์เท่าใดนัก และแน่นอนว่าดีกว่าไปเด็ดดอกไม้ หามุมหลบตามป่าให้ยุงกัดเล่นด้วยครับ :)

จากเมือง Palmer เราสามารถตรงไปทาง Glennallen ได้เลย ระหว่างทางวิวดีครับ มีจุดชมวิวหลายจุด มีที่เที่ยวหลักให้แวะคือ Matanuska Glacier แต่จากตรงนี้มี Scenic pass ใกล้ๆชื่อ Hatcher Pass อยู่ทางเหนือของ Palmer ไปราวๆครึ่งชั่วโมงครับ ขอบอกว่าไม่ควรพลาดอย่างมาก ถนนนี้จะเป็น local road ครับ ชื่อตรงตัวเลย Hatcher Pass Rd. มองใน Google Maps จะเห็นเป็นเส้นจางมากๆ ต้อง zoom เข้าไปครับ ขับไปเรื่อยๆก็จะเริ่มเห็นความเขียวขึ้นเรื่อยๆ และพอพ้น tree line จะเห็นวิวภูเขาคลอเคลียไปด้วยหมอกสวยงามมากครับ และยิ่งไปกว่านั้น ถ้าขับเลยขึ้นไปถึงจุดที่สูงสุดของ Hatcher Pass แล้วมองลงมาจะเห็นถนนคดเคี้ยวพับพ้า ล้อมไปด้วยสายหมอกเลยทีเดียว แต่....ตอนที่ผมไป Hatcher pass มันปิดครับ 55555 ผมเองไม่ได้เชคมาก่อน ไม่คิดว่ามันจะปิด เพราะคิดว่าเข้า summer แล้วถนนน่าจะเปิดแทบทุกเส้น และด้วยเหตุที่ว่าถนนมันปิดนี่เอง ผมก็ขับเลยทางแยกที่จะเข้า Hatcher pass ไปจนถึงเหมืองเล็กๆแห่งนึงที่ถูกทิ้งร้างแล้ว ชื่อ Independence Mine ครับ ทำให้เหมืองแห่งนี้เป็นเป้าหมายของเหล่าตากล้องแทน Hatcher pass ไปโดยปริยาย ฮาาาาา




บริเวณรอบๆ Hatcher Pass จะเหมือนกับเมืองในหุบเขาสายหมอกเลยครับ หงอคงน่าจะมาฝึกวิชาแถวนี้นะครับ 5555

ผมไม่ค่อยมีข้อมูลของเหมืองนี้เท่าไหร่ครับ ขอไปทำการบ้านก่อน จะมาพิมพ์เพิ่มให้นะครับ ดูภาพไปแทนก่อนแล้วกัน มีลำธารและน้ำตกเล็กๆด้วย หมอกที่ล้อมอยู่รอบบริเวณทำให้บรรยากาศดูดีขึ้นเยอะเลยครับ




กว่าจะเคลื่อนทัพจาก Independence Mine ก็ล่วงเวลาไปเกือบสี่โมงเย็น และระยะทางยังอีกค่อนข้างไกล คงต้องทำเวลาอีกครับ เราก็ขับไปบน Glenn Highway ไปเรื่อยๆ มุ่งหน้าไปทางตะวันออก ปลายทางคือ Slide Mountain Cabin ที่พักคืนนี้ มีโอกาสได้โฉบเฉี่ยวผ่าน Matanuska Glacier เล็กน้อย ได้มองแต่ไกลๆ เพราะเวลาไม่พอ และการเข้าไปสัมผัส Glacier ต้องจ่ายคนละ $15 เพราะ glacier เป็น private area ครับ ส่วนถ้าอยากจะเดินบน Glacier ต้องจ่ายมากกว่านั้นอีก ผมนั่งคำนวณตัวเลขและเวลาที่เหลืออยู่ของวันนี้แล้ว ขอตัดสินใจข้ามไปดีกว่าครับ เพราะยังไงอีกสองวันให้หลังได้เต็มอิ่มกับ Glacier แน่นอน


ส่อง Matanuska Glacier มาให้ชมแบบไกลๆครับ


ขับรถช่วงเดือนมิถุนายนถึงต้นเดือนกรกฏาคม แม้จะไม่เห็นใบไม้เปลี่ยนสี หรือไม่มีผลไม้ป่าข้างทางอร่อยๆให้ทาน (berry ป่าจะออกผลช่วงสิงหาคมครับ อร่อยมากๆ) แต่เราก็เห็นดอกไม้สีสันสวยงามไปตลอดทางครับ แม้ไม่ได้เข้าไป Matanuska Glacier แต่ได้ชมดอกไม้เพลินๆก็ happy กันถ้วนหน้าฮะ




ถ่ายรูปกันเพลินมากครับ ดอกไม้ป่าขึ้นริมทางเพียบเลย เราถ่ายกันเกือบครึ่งชั่วโมงได้ครับ

ตอนหน้าจะพาไปเที่ยว Wrangell-St.Elias National Park ครับ อุทยานที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาเหนือ แต่คนเที่ยวน้อยมาก และเป็นที่ๆผมประทับใจมากที่สุด เพราะได้เข้า Ice cave ครั้งแรกในชีวิตด้วยครับ


เขาลูกนี้ถ่ายจากหน้าที่พักเลยครับ เรานอนกันที่ Slide Mountain Cabin ครับ บริการดีเป็นกันเองมากครับ



Thursday, July 14, 2011

100 Things I've learned about Photography

Link: http://digital-photography-school.com/100-things-ive-learned-about-photography


1. Never do photography to become a rock-star.
2. Enjoy what you are shooting.
3. Prepare well for your shooting, realizing that your battery isn’t charge when you’re setting up for that sunrise shoot is too late!
4. Always take one warm garment more than you actually need with you
5. Pay attention to your thoughts and emotions while you are shooting
6. Set goals you can achieve
7. Write tips about photography, because writing is also learning
8. Never go shooting without a tripod
9. Be pleased with the little prosperities
10. Build relationships with potential photo buddies
11. Watch the place you want to shoot first with your heart then with the camera
12. Always stay calm
13. Know that you tend to overestimate yourself
14. Perspective is the killer
15. Dedicate yourself to photography, but never browbeat yourself too much
16. Take part in a photography community
Treeklein17. Keep your camera clean
18. Never compare yourself to others in a better or worse context
19. Find your own style of photography
20. Try to compose more and to hit the shutter less
21. Seek out and learn to accept critique on your images
22. Do something different to recover creativity
23. Get inspiration from the work of other photographers
24. Criticize honestly but respectfully
25. Get feedback from your lady
26. Don’t copy other photographer’s style
27. Be bold
28. Take care of the golden ratio
29. 10mm rocks!
30. Take selfportraits
31. Read books about photography
32. To give a landscapephotograph the extra boost, integrate a person (maybe yourself)
33. Every shooting situation is different than you expect
34. Pay attention to s-curves and lines
35. Always shoot in RAW

36. Keep your sensor clean, so you can save some work cleaning your image in post production
37. Discover the things you think are beautiful
Redgreenklein38. It takes time to become a good photographer
39. The best equipment is that what you have now
40. You can’t take photographs of everything
41. Break the rules of photography knowingly, but not your camera ;)
42. Pay attention to the different way that light falls on different parts of your scene
43. The eye moves to the point of contrast
44. Clouds increase the atmosphere of a landscape
45. Start a photoblog
46. Accept praise and say “thank you”
47. ‘Nice Shot’ is not a very useful comment to write
48. ‘Amazing!’ isn’t useful either. Try to describe specifically what you like or don’t like about an image.
49. You are not your camera
50. Ask a question at the end of your comment on a photo to get a ping-pong conversation with the photographer
51. Do a review of your archives on a regular basis, the longer you photograph - the more diamonds are hidden there
52. Always clarify what the eyecatcher (focal point) will be in your image
53. No image is better than a bad one
54. Everyone has to start little
55. Your opinion about photography is important!
56. Leave a funny but thoughtful comment
57. Speak about your experiences with your photo buddies
58. Limit your photograph to the substance
59. Participate in Photocontests
60. Post processing = Optimizing your image to the best result
61. Shoot exposure latitudes as often as possible
Wideklein62. Use photomatix as seldom as possible, HDR’s always have a synthetic flavor
63. Always remember what brought you to photography
64. Never shoot a person who doensn’t want to be photographed
65. Always turn arround, sometimes the better image is behind you
66. It’s who’s behind the camera, not the camera
67. Mistakes are allowed! The more mistakes you make, the more you learn!
68. If you have an idea and immediately you think : No, this is not going to work - Do it anyway. When in doubt - always shoot.
69. Understand and look to your histogramm while shooting. It delivers very important information about your image
70. Know your camera, because searching the menu button in the night is time you don’t want to waste
71. Shoot as often as possible
72. Believe in yourself
73. Don’t be afraid of getting dirty
74. Pay attention to qualitiy in your image
75. Your photographs are a personal map of your psyche
76. Re-check your ISO-Settings. It’s aweful to detect the wrong settings on your screen.
77. Be thankful for long and thoughtful comments on your images
78. Never trust your LCD. Normally it is brighter and sharper as the original image.
79. Provide for enough disc space, because it’s cheap and you will need it.
Autoklein80. Learn to enjoy beautful moments when you don’t have a camera with you.
81. Always arrive at least half an hour earlier before sunrise / sundown, composing in a hurry is a bad thing.
82. Try to amplify your mental and physical limits. Takes some extra shots when you think “it’s enough”
83. Pay attention to structures in the sky and wait until they fit into structures in the foreground
84. Visit the same place as often as possible. Light never shows the same mountain.
85. Print your images in big size. You will love it.
86. Calibrate your monitor. Working with a monitor that is not accurate is like being together with someone you can’t trust. It always ends badly.
87. Don’t think about what others may say about your image. If you like it, it’s worth publishing.
88. Never address reproaches to yourself. Learn from your mistakes and look forward, not backward.
89. Fight your laziness ! Creativitiy comes after discipline.
90. Ask yourself : What do you want to express in your images ?
91. Always try to think outside the box, collect new ideas about photographs you could do and ask yourself : Why not?
92. Search for a mentor.
93. Photography is never a waste of time.
Fogklein94. Every community has it’s downsides. Don’t leave it out of an emotional response.
95. There will always be people who will not like what you are doing.
96. Henri Cartier-Bresson was right when he said that “Your first 10,000 photographs are your worst.”
97. A better camera doesn’t guarantee better images.
98. Always have printing in mind when you postprocess your images.
99. Photography is fair : You gain publicity with the quality of your images. Unless the images are stolen, there is no way of cheating yourself higher.
100. Write a 100 things list

Alaska : Adventure in the Last Frontier #1

ผมเพิ่งกลับมาจากการผจญภัยที่สนุกมากๆครั้งหนึ่งของชีวิตมาได้ไม่นานเองครับ ไปลุยอลาสกามาสิบสองวันเต็ม ฟังดูเหมือนยาวนานมาก แต่มันก็ยาวจริงๆครับ 555 เที่ยวเอาจนเหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งกระเป๋ากันเลย

ตอนแรกผม set ไว้ว่าจะไป canadian rockies ช่วงนี้ แต่ด้วยเหตุปัจจัยเรื่องการขอวีซ่าของสมาชิกทริปหลายๆท่านเป็นไปด้วยความยากลำบาก อยู่ในช่วง US visa หมดบ้าง หรือขอเอกสารจากมหาวิทยาลัยไม่ได้บ้างเพราะกำลังเปลี่ยนมหาวิทยาลัย(ผมเองอยู่ในกลุ่มนี้) ทริปนี้ที่เขียนทริปกันจนเสร็จแล้วก็ต้องล้มพับไปเสียก่อน ถ้าไม่ไป canadian rockies แล้ว สถานที่ๆพอจะมางัดสู้ได้ก็คงต้องเป็น Alaska นี่แหละครับ เพราะความ Extreme มีไม่แพ้กันเลย ค่าใช้จ่ายก็ Extreme ไปด้วย ฮาาาา แต่จริงๆค่าใช้จ่ายก็ไม่ได้แพงมากขนาดเที่ยวไม่ได้เลยครับ เพราะถ้าเที่ยวด้วยตัวเองแล้วก็จะถูกกว่าไปตามทัวร์หลายเท่าตัวทีเดียว หลายๆคนเลือกที่จะจองมาจากเมืองไทย ส่วนมากจะได้มากับกลุ่มทัวร์ใหญ่ ล่องเรือสำราญ ซึ่งราคาแพงสุดๆเลยครับ ไม่ต่ำกว่าแสนบาทแน่นอน สำหรับผมเอง 12 วัน หมดไป $1300 โดยรวมก็ราวๆ 40000 บาทครับ ถือว่าคุ้มมากๆเมื่อเทียบกับประสบการณ์ที่ได้มา ได้ลองอะไรหลายอย่างมากๆ


Alaska เป็นรัฐที่ใหญ่มากครับ ไม่มีทางเที่ยวได้หมดภายในสิบวันแน่นอน พื้นที่ส่วนใหญ่ก็เข้าไม่ถึงด้วยรถยนต์ครับ รถยนต์ขับไปได้แค่ไม่ถึง 20% ของ area ทั้งหมด ที่เหลือต้องนั่งเรือ หรือทางเครื่องบินเท่านั้น อย่างเช่นเมืองหลวงของ Alaska ชื่อ Juneau ก็ไม่มีถนนเข้าถึง ต้องเครื่องบินหรือทางเรืออย่างเดียว (ไม่รู้จะไปสร้างเมืองหลวงตรงนั้นให้เปลืองค่าเครื่องบินทำไม 555) ผมก็ไปแค่ส่วนตรงกลางของ Alaska เท่านั้นครับ สรุปคร่าวๆของทริป คือ Anchorage - Seward - Kenai Fjord National Park - Anchorage - Chugach State Park - Glennallen - Wrangell St.Elias National Park - Valdez - Fairbanks - Arctic Circle - Fairbanks - Denali National Park - Anchorage

วันแรกของการเดินทาง ผมนั่งเครื่องบินจาก LA ไปลง Anchorage ไปเจอกับเพื่อนๆที่นั่นครับ แต่ไฟลท์ที่บินเข้า Anchorage นั้นมาจาก Seattle ผมลองลากเส้นตรงในจินตนาการบน google maps พบว่าเส้นทางบินจะเห็นชายฝั่งอลาสกาทางขวามือพอดี ฉะนั้นผมฟันธงเลยว่าผมต้องเห็นภูเขาสวยๆทางฝั่งขวาแน่นอน ลงมือจองที่นั่งฝั่งขวาติดหน้าต่างอย่างไม่ลังเลเลยครับ และนั่นก็ไม่ทำให้ผมผิดหวังเลย แม้ว่าเมฆจะเยอะมากก็ตาม แต่ก็ยังมีเสน่ห์อยู่ดี ภูเขาที่เห็นส่วนมากจะเป็นแถบ Wrangell St.Elias National Park ซึ่งเป็นอุทยานที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาเลยครับ

แต่ถ้านั่งจากสนามบินอื่น ก็ลากเส้นเอาเองนะครับ อาจจะอยู่ฝั่งซ้ายก็ได้ ถ้าบินมาจาก detroit ครับ google maps มีประโยชน์มากเลย





ทริปนี้มากันเจ็ดคนครับ มีผม ปัถย์(จาก UCSD) พี่ต้นและพี่กล้า(จาก UMass-Amherst) พี่มะกอกและพี่พีท (จาก Purdue) และหมอแหวนจาก UNC ครับ

วันแรกผมแทบไม่ได้ทำอะไร มาถึง Anchorage ก็เกือบห้าทุ่ม กว่าจะออกตัวไปถึงโรงแรมก็เที่ยงคืนพอดี นอนที่ Motel 6 ราคาแพงกว่า Motel 6 ที่อื่นครับ ที่นี่คืนละ $130 แต่สภาพห้องก็ดีกว่า Motel6 สาขาอื่นแบบผิดหูผิดตาทีเดียวครับ แน่นอน คนไทยกากๆอย่างผม มีเท่าไหร่ก็อัดเข้าไปห้องเดียวพอ เพราะนอนกันไม่กี่ชั่วโมงเอง 55 ผมเรียกให้วันที่สองของทริปเป็นวันแรกดีกว่า ตอนเช้าเราก็ทำอะไรไม่ได้มากครับ เพราะว่าพี่ต้นตกเครื่อง ไม่สามารถมาได้ในคืนก่อนหน้า ยังโชคดีที่ได้ไฟลท์มาถึงเที่ยงของอีกวันถัดไป ตอนช่วงเช้าก็เป็นเวลา shopping ซื้อเสบียง ของใช้ที่จำเป็นอื่นๆเช่น ผ้าใบ เชือกมัดของ เพราะเราเอาของไว้ด้านบนของรถ SUV ครับ มี bear bell เอาไว้กันหมี เป็นต้น

ที่ Anchorage มีร้านขายของเอเชียด้วยนะครับ ขอบอกว่า advance มาก มีผักที่ไม่คิดว่าจะได้พบได้เจอที่อลาสกา อย่างเช่น ยอดฟักทอง ผักกระเฉด ใบกะเพรา ผักหวาน ผักชีลาว (เห็นแล้วอยากกินอ่อมมาก) รวมไปถึงเครื่องปรุงอื่นๆก็มีครบครันมากครับ ร้านชื่อ APA Asian Market อยู่ในซอกเล็กๆ อาจจะหาไม่เจอได้ครับ
ที่อยู่ 300 W 36th Ave # 6, Anchorage, AK

พอจัดการทุกอย่างเสร็จสรรพเราก็เริ่มออกเดินทางไปเมือง Seward กันเลยครับ ระยะทางไม่ไกล ราวๆ 130mi เกือบๆสามชั่วโมงครับ ถ้าจอดชมวิวก็เผื่อไปอีกสองเลย 5555

Seward เป็นเมืองท่าทางตอนใต้ของ Anchorage ถนนที่เชื่อมระหว่างสองเมืองนี้ก็คือ Seward Highway ซึ่งจะวิ่งเลียบภูเขาและทะเลไปเรื่อยๆครับ แถมยังเป็นถนนที่สวยติดอันดับของอเมริกาด้วยนะครับ วิวสองข้างทางก็จะเห็นภูเขาสูงไปตลอด แต่ผมหลับด้วยความเหนื่อย 555 มาตื่นอีกทีก็ถึงตรงแยกที่จะไปเมือง Homer ครับ วิวดีมากกกกก


ปกตินักท่องเที่ยวที่มา Seward จะเที่ยว Kenai Fjord National Park เป็นหลักครับ นอกจากนี้ก็จะเป็นการเดินทาง cruise ต่อไปเมืองอื่นๆแทน Kenai Fjord เป็นอุทยานที่แทบไม่มีถนนเข้าถึง (ซึ่งก็เป็นส่วนมากของอลาสกา) เพราะว่าเนื้อที่ส่วนใหญ่ของที่นี่เป็น Icefield หรือ Ice sheet แผ่นน้ำแข็ง ต้นกำเนินของ Glacier และเป็นที่มาว่าทำไมที่นี่ถึงต้องเป็นอุทยาน ก็เพราะต้องรักษาไม่ให้ระบบนิเวศของ Icefield ผืนนี้ต้องได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะจากโลกร้อนครับ หลักๆเราสามารถชมอุทยานได้สองทาง อย่างแรกคือล่องเรือครับ มีบริษัททัวร์บริการเดินเรือหลายเจ้าเลยทีเดียว เจ้าหลักๆคือ Kenai Fjord Tour กับ Major Marine ซึ่งจะเป็นเรือลำใหญ่หน่อย มีบริษัทเล็กๆที่ออกเรือลำเล็กครับ แต่ราคาต่อหัวก็แพงขึ้นไปหลายเท่าทีเดียว

อีกทางหนึ่งที่จะชมอุทยานก็คือทางรถครับ มีถนนเส้นเดียวที่เข้าไปถึงอุทยาน แต่ก็เป็นแค่ปลายติ่งเล็กๆเท่านั้นเอง ถนนเส้นนี้เข้าไปที่ Exit Glacier ครับ จากที่จอดรถ เดินไปราวๆ 2mi ทางราบ บวกเนินนิดหน่อยก็จะได้เข้าไปใกล้ Exit Glacier แล้วครับ ถือว่าสะดวกมากๆ และเหมาะกับคนที่ไม่พร้อมที่จะเดินป่าแบบหินๆครับ แต่ก่อนนี้ Exit Glacier นี้อยู่ใกล้ๆลานจอดรถเลยครับ แต่ด้วยโลกร้อนขึ้น Glacier ก็ถอยร่นลงไปเรื่อยๆ ตลอด trail ที่เดินไปจะเห็นป้ายปัก ระบุ คศ. นั่นคือตำแหน่งของ Glacier ในปีนั้นๆครับ ยิ่งเดินไปก็ดูจะหดหู่ลงไป เพราะกว่าจะถึง 2010 มันช่างไกลเหลือเกิน


ทางเดินขึ้นเนินนิดหน่อยครับ


ได้เดินเข้าไปใกล้ Glacier มากๆ แต่ไม่สามารถเข้าใกล้จนแตะน้ำแข็งได้นะครับ เพราะอันตรายพอสมควรครับ


จะเห็นว่ามีรั้วกั้นอยู่ แต่เท่านี้ก็ใกล้มากเพียงพอแล้วครับ ถ้าอยากได้แสงสวยๆต้องมาตอนเช้า เพราะตอนบ่ายจะย้อนแสงด้วยครับ


ตามกระแส ขอ plank กันหน่อย ฮาาาา

เราเดินชม Exit Glacier เสร็จราวๆหกโมงเย็น แต่เรายังไม่จบกันแค่นั้นครับชมด้านล่าง Exit Glacier กระจอกไป ฮาาาา ทริปเราต้องเหนื่อยกันกว่านี้ วันแรกขอรับน้องกันเลยดีกว่า จากรูปด้านบนก็จะเห็นภูเขาทางด้านขวา นั่นแหละครับ เป้าหมายวันนี้ของเรา คือเดินไปชม Glacier ด้านบนกัน เห็นความสูงแล้วก็ต้องทำใจนิดหน่อย เพราะต้องเดินขึ้น 3000 ft ในระยะทาง 3 ไมล์นิดๆ เท่ากับ 1000ft ต่อ 1 ไมล์ ชันเอาเรื่องอยู่ทีเดียวครับ เวลาเดินราวๆหกชั่วโมง แปลว่าเราจะกลับลงมาราวๆเที่ยงคืนครับ ฟังดูเหมือนจะมืดแล้ว แต่พระอาทิตย์หน้าร้อนที่อลาสกาจะตกราวๆห้าทุ่มครึ่งครับ และท้องฟ้าตอนเที่ยงคืนก็ไม่มืดสนิท ฉะนั้นไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด แต่วันนี้จะเหนื่อยกันแน่ๆ 555

Trail นี้ชื่อ Harding Icefield Trail ครับ ดูจาก map ก็จะเห็นว่าเดินเลาะไปข้างๆ Glacier เลย trail นี้เป็น top 20 trails แนะนำใน National Geographic ด้วยนะครับ เพราะว่า trail นี้ทำให้เราได้ไปสัมผัส Icefield ที่เป็นต้นกำเนิดของ Glacier กันแบบใกล้ๆเลยทีเดียว ข้างบนนั้น แน่นอนว่าจะเห็นทุ่งน้ำแข็งสุดลูกหูลูกตากันเลย



Trail สีฟ้าก็คือ trail ที่ไปชม Glacier จากด้านล่างครับ


ส่วน Harding Icefield Trail ของจริงก็อย่างที่เห็นครับ

เส้นทางเดินช่วงแรกก็จะผ่านป่าครับ ซึ่งมีลำธารและมีความดิบอยู่พอสมควร ถ้ามาเดินช่วงเดือนมิย.และ กค. ก็จะมี ยุงงงงงงงงง ครับผม ยุงเยอะมากกกกก ต้องเตรียมเสื้อแขนยาวและยากันยุงให้พร้อมนะครับ ยุงมันบินวน ไล่ล่ากันอย่างไม่หยุดหย่อนทีเดียว ช่วงแรกๆของการเดินเราจะไม่เห็น Glacier เท่าไหร่ครับ จนเราเดินถึง Overlook แรก วิวสวยๆก็เริ่มมาให้เห็นแล้วครับ


มองไปด้านหลัง ขึ้นมาสูงใช้ได้นะครับ หอบกันแฮ่กๆเลย 555



บางช่วงก็ต้องเดินบนหิมะบ้าง ลำบาก แต่ไม่ยากเกินไปครับ ไปกันช้าๆ


ใกล้จะถึงข้างบนแล้ว เห็น Glacier เป็นแนวอยู่ด้านหลังครับ


จากจุดนี้ อีกไม่ไกลแล้วครับ

 

เดินลุยหิมะกันไป


และเราก็ตัดสินใจว่าจะหยุดกันตรงนี้ครับ เพราะตอนนั้นสี่ทุ่มแล้ว ระยะทางตรงนี้ 3.5 ไมล์ จากทั้งหมด 4 ไมล์ ถ้าคำนวณเวลาลง หากไปต่ออาจจะกลับลงมาดึกเกินไป ทำให้เราไม่ได้ไปถึงปลายสุดของ trail แต่ก็ได้เห็น icefield ลางๆครับ 



ลวดลายของ Glacier เป็นริ้วของรอยแตก งดงามากๆ เห็นน้ำสีฟ้าขังอยู่ประปรายด้วยครับ



จากตรงนี้ก็พอจะเห็น Icefield ได้บ้างครับ แต่ถ้าขึ้นไปต่ออีกหน่อยก็จะเห็นได้ 180 องศาเลยทีเดียว

ขาลงเราก็ลงกันมาอย่างทำเวลาครับ ขาขึ้นปวดน่อง แต่ขาลงปวดเข่ามาก 555 การเดินอย่างเร็วๆนี่มันเป็นการวัดความแก่ได้ดีทีเดียว ยิ่ง 1000ft/mile แล้วชัดเจนมากครับ สุดท้ายเราก็เดินลงมาถึงข้างล่างตอนห้าทุ่มเศษๆพอดี ไปหาอาหารเติมพลังกันที่ safeway แล้วเข้าที่พักนอนครับ ที่พักในคืนนี้เป็น hostel ชื่อ Moby Dick Hostel เป็นบ้านน่ารักมากครับ จริงๆผมก็ทำผิดมารยาทไปเล็กน้อย เพราะปกติ hostel จะเคร่งเครื่องการใช้เสียงในเวลาดึกมากๆ หากอาบน้ำ เดินไปเดินมาช่วงดึกจะเป็นการรบกวนคนอื่นครับ ฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ ถ้าพัก hostel ก็ไม่ควรไป hike แล้วกลับตอนดึกแบบพวกผมครับ 555 ยังดีที่ผมจอง private room ไว้สองห้อง ทำให้ค่อนข้างคล่องตัวตอนย่องเข้าที่พักยามดึก 555


hostel ครับ พักสบายมาก บ้านน่ารักมาก ข้างหลังเห็นภูเขาหิมะ(มังกรหยก)ด้วย

เช้าวันถัดมาเราก็ไปชม Kenai Fjord กันอีกอารมณ์นึง ก็คือล่องเรือนั่นเองครับ ผมเลือก Major Marine tour เพราะอ่าน review เขาบอกว่าเรือของบริษัทนี้จะมีเนื้อที่ด้านนอกเรือมากกว่า ทำให้เราออกไปชมวิว และชมสัตว์ได้คล่องกว่า แต่เอาเข้าจริง ผมไปแอบดูเรือของ Kenai Fjord Tour ก็ไม่เห็นต่างกัน ขนาดก็ใกล้ๆกัน เส้นทางเดินเรือก็คล้ายๆกันครับ

เวบของทั้งสองบริษัทครับ http://www.kenaifjords.com/ และ http://www.majormarine.com/
บริษัท Major marine นี้ยังบริการทัวร์ใน Prince William Sound ด้วย ซึ่งต้องนั่งเรือจากเมือง Whittier ครับ ทั้ง Kenai Fjord และ Price William Sound จะเป็นการล่องเรือชมเหมือนๆกัน เป้าหมายหลักก็คือชม Tidewater Glacier หรือ Glacier ที่มีปลายทางอยู่ที่ทะเล ซึ่งจะต่างกับ glacier ธรรมดาตรงที่ถ้าโชคดี จะเห็นน้ำแข็งแตกออกมาเป็น iceberg ครับ ที่ Price William Sound จะเห็น Glacier มากกว่า ส่วน Kenai Fjord นั้นเรือส่วนมากจะพาไปชมแค่ Glacier เดียว แต่จะเห็นสัตว์นานาชนิดเยอะกว่ามากครับ ทั้งวาฬ นก แมวน้ำ ฯลฯ ขึ้นอยู่กับว่าชื่นชอบแบบไหนมากกว่ากัน ถ้าชอบ Glacier ก็ไป Price William Sound การนั่งเรือแต่ละครั้งก็มีค่าใช้จ่าย $150 ต่อคนโดยประมาณ ซึ่งถ้าไปทั้งสองที่ก็คงเปลืองเงินมากครับ ผมเลยเลือก Kenai Fjord เพราะเห็นทั้งสัตว์และ Glacier ครับ

Cruise หนนี้ผมเลือก 7.5 hour tour ครับ คิดว่ามันคงนานกว่า แต่จริงๆระยะทางเท่ากัน นั่งเรือลำที่วิ่งได้ช้ากว่า เลยมีช่วงเวลาที่นานกว่าครับ ปกติ cruise นั้นจะมีอาหารเที่ยงให้ทานด้วยครับ (อาจจะต้องจ่ายเพิ่ม แล้วแต่บริษัท) มื้อเที่ยงก็เป็นเนื้อ rib กับ salmon สดๆของอลาสกาที่ผมใฝ่ฝันจะทานมานาน :P

นอกจากนี้บนเรือก็จะมี Ranger ของอุทยานคอยให้ความรู้ และคอยชี้ให้เห็นสัตว์ต่างๆด้วยครับ rangers ตาไวมากๆ เจอสัตว์หลายชนิดทีเดียว แถมยังบอกจากระยะไกลได้ด้วยว่าเป็นชนิดอะไร



พอออกจาก Seward ก็จะเห็นวิวของภูเขาสูงๆได้รอบตัวเลย


ที่ Seward มีเรือลำใหญ่ๆมาบ่อยครับ ส่วนมากก็มาจาก canada & seattle นั่นเอง



เริ่มเห็นสัตว์ครับ Puffin น่ารักมากๆ


ปลาวาฬพ่นน้ำ อยู่ไกลมาก ผมซูมได้ไม่ไกล กล้องไม่คูณด้วย เลยได้รูปสัตว์มาไม่มากครับ


Aialik Glacier ซึ่งเรือไม่ได้ไปที่นี่ครับ แต่ไป Holgate Glacier แทน


เริ่มเข้าใกล้ Holgate Glacier ก็จะเจอก้อนน้ำแข็งลอยเพียบเลย พอเรือแล่นผ่านก็จะได้ยินเสียงตึงๆ เพราะน้ำแข็งชนเรือ แต่คงไม่จมเหมือนไททานิคหรอกนะครับ :)



ทางด้านซ้ายของ Holgate Glacier จะเห็น Glacier เล็กๆอันนึงซึ่งผมไม่ทราบชื่อเหมือนกัน Glacier นี้ไม่ถือว่าเป็น Tidewater Glacier เพราะว่าปลายทางไม่ได้ลงไปในทะเล แต่ถ้าในอนาคต ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ 555


และแล้วก็ได้มาเห็นกับตาครับ เรือจะจอด ดับเครื่อง ให้เรานั่งฟังเสียงน้ำแข็งแตก ซึ่งก็ได้ยินจริงๆครับ ระยะทางไกลราวๆสองร้อยเมตรขนาดนี้ยังได้ยินชัดเจน เหมือน Glacier กำลังมีการเคลื่อนไหว มันช่างสุดยอดมากๆครับ


รอไปสักพักเราก็ได้เห็นก้อนน้ำแข็งแตกลงมา เสียงดังทะมึนไปทั่วเลยครับ แม้เป็นแค่ก้อนเล็กๆก็ตาม จริงๆถ้าเป็นวันที่โชคดีอาจจะได้เห็นกำแพงใหญ่ๆถล่มลงมา แต่เราไม่ได้โชคดีขนาดนั้นครับ :( 

เรือจะจอดให้ชม Glacier ราวๆสามสิบนาที ถ้าเกิดวันนี้พกโชคมาน้อยก็อาจจะได้เห็นเท่าที่เห็นครับ ธรรมชาติถือไพ่อย่างชัดเจนมากๆ แต่ว่าแค่ได้มาเห็น Glacier ก็คุ้มค่าแล้วครับ ใจจริงผมก็อยากโชคดีมากนัก ไม่อยากเห็น Glacier ถล่มลงไปมากกว่านี้ เพราะถ้าเห็นมันถล่มครึนๆไปทุกวัน แสดงว่าอากาศโลกเราคงอยู่ในภาวะวิกฤติจริงๆแล้วครับ น้ำทะเลก็สูงขึ้นทุกวันด้วย

ลดขยะ ลดการสร้างมลพิษ รักษาสิ่งแวดล้อมนะครับ มนุษย์บนโลกช่วยกัน เราก็จะรักษาโลกไว้ได้ครับ