Pages

Monday, August 8, 2011

Alaska : Adventure in the Last Frontier #2


จากหลังจากรับน้องที่ Exit Glacier :) และ Kenai Fjord cruise ผมก็ร่ำลาเมือง Seward มุ่งหน้ากลับมา Anchorage อีกครั้ง เพราะว่าเมืองอื่นในแถบนี้ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจมากนัก จะมีก็ Whittier ซึ่งถ้าจะไปก็คงเป็นการล่องเรือใน Price William Sound ที่ผมไม่อยากเสียเงินมากนักครับ(จนอยู่) ใช้ถนนเส้นเดิมคือ Seward Highway วิ่งกลับมาที่ Anchorage หนนี้ผมตั้งใจว่าจะไม่หลับแล้ว ต้องเห็นวิวสวยๆให้ได้ แต่ดูอากาศจะไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่ วันที่หลับบนรถ ฟ้าดันใส 5555


Turnagain Arm ระหว่างทางกลับครับ ถนน Seward Highway เลียบอ่าวนี้เลย ช่วงนี้น้ำลงครับ เห็นลายของสันดินด้วย


กว่าจะเสร็จจาก cruise และจัดการเก็บของต่างๆออกจาก hostel ก็ปาเข้าไปเกือบๆหกโมงเย็น แต่แสงสว่างยังมีอีกเหลือเฟือจนถึงเที่ยงคืนครับ ฉะนั้นการถ่ายรูประหว่างทางกลับ Anchorage ก็ไม่เป็นปัญหามากนัก ปัญหาเดียวคือผู้ร่วมทริปจะได้นอนดึก (อีกแล้ว 555) และคืนที่ Anchorage ก็นอนที่ hostel (เข้าที่พักดึกอีกแล้ว) จัดแจงทานอาหารเย็นให้เสร็จกันตั้งแต่ Seward เลย ระหว่างทางกลับนี้พวกผมแพลนว่าจะขอแวะเข้าไปที่ Portage Glacier ซึ่งอยู่ทางไป Whittier แยกออกไปราวๆ 10 ไมล์เท่านั้นครับ และว่าจะแวะจุดชมวิวต่างๆรายทางบน Seward Highway ให้ครบ

จริงๆแล้วถนนที่ไป Whittier นี้จะแปลกกว่าที่อื่นๆหน่อยครับ เพราะเมือง Whittier อยู่อีกด้านของภูเขา เมื่อก่อนหากจะมาจาก Anchorage สามารถเข้าถึงโดยทางเรือ หรือทางรถไฟเท่านั้น มีอุโมงค์รถไฟตัดผ่านภูเขาอยู่ครับ แต่ปีหลังๆนี้ได้เปิดอุโมงค์รถไฟให้รถวิ่งร่วมกันด้วย แต่อุโมงค์นั้นมีขนาดเล็กมาก และค่อนข้างยาว ถนนมีเลนเดียว ฉะนั้นก็ต้องมีการเปิดปิดให้รถวิ่งสลับกันเป็นเวลา และยังต้องปิดการจราจรให้รถไฟวิ่งด้วย (เป็นอุโมงค์สารพัดประโยชน์มาก) ใจจริงผมก็อยากลองขับวนเข้าไปใน Whittier เพื่อชมเมืองเล่นๆเหมือนกัน แต่กลัวจะเสียเวลา และต้องเสียเงินค่าผ่านทางอีก $12 เลยต้องขอบายไป ณ ที่นี้ 555


ทางก่อนเข้าอุโมงค์ครับ ภูเขารอบด้านเลย เลยโค้งนี้ไปก็เห็นอุโมงค์แล้วครับ

ผมยืม google maps มา เลือกเป็น terrain เผื่อจะได้มองภาพภูเขารอบๆ Anchorage ได้ชัดขึ้นครับ


จากแผนที่จะเห็นว่า Whittier อยู่อีกด้านของภูเขาจริงๆ ถ้าไม่มีอุโมงค์ก็คงไม่มีหนทางตัดเชื่อมไปสู่ Prince William Sound เลย สภาพภูมิประเทศของอลาสกาก็เป็นภูเขาแบบนี้เกือบ 75% ครับ ทำให้การตัดถนนทำได้ยากมาก ถนน Seward Highway ก็คือเส้นดำๆที่มาจาก Anchorage มาที่ Seward เลาะภูเขาและ Turnagain Arm มานั่นเองครับ ก่อนถึง Whittier เล็กน้อยจะเห็น lake เล็กๆ นั่นคือ Portage Lake อยู่ตรงทางเข้าอุโมงค์พอดี ซึ่งน้ำแข็งจาก Portage Glacier จะละลายลง lake นี้ครับ


Portage Glacier


การชม Portage Glacier ก็ไม่ยากครับ สามารถชมได้จากริมถนน ก่อนถึงอุโมงค์เล็กน้อย หรือจะล่องเรือไปได้ครับ มี shuttle cruise บริการในราคาไม่แพง แต่พวกผมมาถึงช้า หลังหกโมงเย็นไม่มีเรือแล้วครับ ก็พอได้เห็น Glacier ไกลๆในวันที่อากาศหมองมัวเท่านั้นเอง

ไม่เป็นไร มาเดินเล่นตามจุดชมวิวรายทางดีกว่าครับ


ใกล้ๆกับ Portage Glacier มีทะเลสาบ น้ำสีฟ้าใสมากเลยครับ


หนองน้ำข้างทาง


อันนี้ก็ Glacier ข้างทาง 5555


ทางรถไฟที่เลียบถนน เป็นเพื่อนร่วมทางครับ สายนี้วิ่งจาก Anchorage to Whittier/Seward/Homer

และสุดท้ายพวกผมก็มาถึง Anchorage เกือบเที่ยงคืน (อีกแล้ว) ที่พักวันนี้คือ Arctic Adventure Hostel ครับ ที่พักดีทีเดียว มี private room ให้ ห้องน้ำสะอาด อาหารเช้าฟรี แต่เกือบไม่ได้เข้าพักเพราะเจ้าของ hostel ไม่ค่อยยินดีให้ check-in ตอนดึกสักเท่าไหร่ แต่ด้วยเดชะบุญที่เขาชอบคนไทย คนไทยนิสัยด้วย ความเป็นคนไทยเลยช่วยได้ครับ คนไทยเราไปที่ไหนก็มีน้ำใจ ผมว่าฝรั่งประทับใจทุกครั้งที่ได้รู้จักแน่นอนครับ และมีประโยชน์ทางอ้อม สร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อประเทศอีกด้วยครับ :)

เช้าวันที่สาม แพลนของวันนี้คือขับออกจาก Anchorage มุ่งหน้าไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ปลายทางอยู่ใกล้ๆเมืองชื่อ Glennallen ครับ แต่ที่พักของวันนี้อยู่ถึงก่อน Glennallen หนึ่งชั่วโมง เพราะว่าที่พักในเมืองแพงในช่วงนั้นครับ

รอบๆ Anchorage มีจุดชมวิวเยอะอยู่ครับ อย่างเช่น Earthquake park ที่จะเห็นตัว downtown สะท้อนน้ำ และมีฉากหลังเป็นภูเขาหิมะด้วย แต่ต้องจอดรถแล้วเดินไปพอควร (ระวังยุงด้วยนะครับ) ผมเองไม่ได้ไปถ่ายที่จุดนี้มา เพราะว่าอากาศไม่ดี และแสงหมดเสียก่อนที่จะเดินถึงมุมนั้นครับ ส่วนทางด้านตะวันออกของเมืองก็จะมี State Park ที่ใหญ่มากๆชื่อ Chugach State Park ครับ ที่นี่มี trail มากมาย และยังมีข้อมูลบอกอย่างละเอียดยิบ ไม่น่าเชื่อว่าเป็นแค่ state park แต่บอกละเอียดดีกว่า National Park บางแห่งเสียอีกครับ (มีหนังสือภาพของ Carl Battreall แนะนำด้วยครับ ภาพสวยมากทีเดียว ถ่ายใน Chugach state park ทั้งหมดครับ)

link นี้รวม trail ทั้งหมดไว้ครับ http://dnr.alaska.gov/parks/units/chugach/trails.htm
ผมเองตอนแรกแพลนไว้ว่าจะไปเดินหลาย trail เลย แต่มาเปลี่ยนใจทีหลังเพราะต้องเผื่อวันนึงไว้ไป Kayak ที่ Valdez ด้วย เลยต้องจำใจตัดไป เหลือแค่ trail สั้นๆใกล้กับ Eagle River ครับ

ขับรถจาก Anchorage มาไม่ไกลก็จะถึง Eagle River และเราก็ตรงไปที่ Eagle River Nature center ทันที และเลือก loop trail สั้นๆอย่าง Rodak Nature loop (0.7 ไมล์) ตอนแรกว่าจะเดิน Albert Loop (2.8 ไมล์) แต่ว่ามันไกลไปนิดครับ อากาศวันนี้ไม่ค่อยดี เดินยาวไม่คุ้มเท่าไหร่ เมฆเยอะมาก อีกทั้งยังลอยต่ำ บังจนไม่เห็นภูเขาเลย


ป่าที่นี่ก็เขียวมากๆเลยครับ


ระหว่างทางเดินครับ มี wildflowers ขึ้นเยอะมากๆ เพราะหน้าหนาวเพิ่งผ่านพ้นมาไม่นาน ตรงนี้อยู่ในส่วนของ Albert Loop ครับ ซึ่งเราเดินไปสักพักก็ย้อนกลับ เพราะกลัวเสียเวลาครับ


เดินไปสักพักก็จะเจอหนองน้ำให้ชมวิวครับ จริงๆมุมนี้ด้านหลังจะเป็นภูเขาหิมะที่สวยมาก แต่วันนี้อากาศไม่ดีครับ เสียดายมากเหมือนกัน


นับเป็นโชคดีของวันนี้ ตอนพวกผมกำลังจะเดินครบรอบ Rodak trail ก็มีคุณป้าคนนึงมาทัก แล้วบอกว่า กำลังจะมี Bird organization ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงกำไร มาปล่อยนกอินทรีคืนสู่ป่าในอีกสิบนาที (กระทันหันสุดๆ) ให้เดินไปที่จุดชมวิวริมน้ำที่อยู่บน Rodak trail ครับ เอาล่ะวะ เดิน trail รอบที่สองก็ได้ 5555



ก่อนปล่อยนก ก็มีเจ้าหน้าที่บรรยายครับว่านกตัวนี้เป็นยังไงมาจากไหน นกตัวนี้พบใกล้ๆเมือง Valdez บาดเจ็บอยู่ ทางศูนย์ก็นำมาเลี้ยงดู แนะปล่อยคืนสู่ป่าในวันนี้ครับ นับเป็นโชคดีมากๆที่ได้เห็นนกอินทรีใกล้ๆเลยทีเดียว (แต่ก็ไม่ใกล้พอที่ผมจะใช้ 200mm ส่องได้ถนัดนัก)



ถ่ายรูปกันไม่หยุดเลยครับ



ออกจาก Eagle River เราก็วกกลับเส้นทางเดิมคือ Glenn Highway มุ่งหน้าไปยังเมือง Palmer ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่อยู่ใกล้กับ Anchorage ครับ เลยจากเมืองนี้ไปก็จะไม่มีเมืองใหญ่อีกแล้ว ไม่มี supermarket ใหญ่ๆอีกแล้ว ย้ำ...อีกแล้วครับ เพราะมันไม่มีจริงๆ เลยจากนี้ไปก็ต้องเป็นที่ Valdez หรือไม่ก็ Fairbanks อย่างเดียวเลยครับ แน่นอนว่าไม่มีทางเห็น Safeway หรือ Walmart แน่นอน เมืองนี้เลยเหมือนจะเป็นเมือง option สุดท้ายที่จะตุนเสบียงครับ แต่ผมว่าไปตุนเอาที่ APA Asian Market ใน Anchorage ดีกว่า :P

มีสองเรื่องที่ต้องคำนึงสำหรับการขับรถในอลาสกาครับ นอกจากเมืองใหญ่ๆจะห่างกันมากแล้ว เมืองเล็กก็ยังห่างกันอีกด้วย ปั้มน้ำมันก็ห่างกัน ฉะนั้นก่อนที่จะออกจากเมืองๆนึง หรือขับผ่านปั้มใดก็ตามควรแน่ใจว่าน้ำมันเราจะมีเพียงพอที่จะไปถึงเมืองถัดไป เผื่อจอดแวะ เผื่อหลง เผื่อขับย้อนตามหาสัตว์ ตามหาแสง ตามหามุมถ่ายรูป (อันนี้หลังๆนี่เฉพาะตากล้องครับ 5555) ผมเองก็เตรียมใจเรื่องปั้มน้ำมันน้อยมาแล้ว ก็แพลนเรื่องเติมน้ำมันไว้ดี ซื้อถังน้ำมัน 5 gallons เผื่อไว้ตั้งแต่ Anchorage เลย :) แต่ก็ลืมคำนึงไปว่าถ้าปั้มน้ำมันห่างกัน ห้องน้ำก็ต้องห่างกันด้วย ฉะนั้นแวะเติมน้ำมันแล้ว อย่าลืมแวะเข้าห้องน้ำด้วยนะครับ ดีกว่าไปเข้าตามส้วมหลุม ที่แม้จะดูสะอาดแต่ก็ไม่ค่อยน่ารื่นรมย์เท่าใดนัก และแน่นอนว่าดีกว่าไปเด็ดดอกไม้ หามุมหลบตามป่าให้ยุงกัดเล่นด้วยครับ :)

จากเมือง Palmer เราสามารถตรงไปทาง Glennallen ได้เลย ระหว่างทางวิวดีครับ มีจุดชมวิวหลายจุด มีที่เที่ยวหลักให้แวะคือ Matanuska Glacier แต่จากตรงนี้มี Scenic pass ใกล้ๆชื่อ Hatcher Pass อยู่ทางเหนือของ Palmer ไปราวๆครึ่งชั่วโมงครับ ขอบอกว่าไม่ควรพลาดอย่างมาก ถนนนี้จะเป็น local road ครับ ชื่อตรงตัวเลย Hatcher Pass Rd. มองใน Google Maps จะเห็นเป็นเส้นจางมากๆ ต้อง zoom เข้าไปครับ ขับไปเรื่อยๆก็จะเริ่มเห็นความเขียวขึ้นเรื่อยๆ และพอพ้น tree line จะเห็นวิวภูเขาคลอเคลียไปด้วยหมอกสวยงามมากครับ และยิ่งไปกว่านั้น ถ้าขับเลยขึ้นไปถึงจุดที่สูงสุดของ Hatcher Pass แล้วมองลงมาจะเห็นถนนคดเคี้ยวพับพ้า ล้อมไปด้วยสายหมอกเลยทีเดียว แต่....ตอนที่ผมไป Hatcher pass มันปิดครับ 55555 ผมเองไม่ได้เชคมาก่อน ไม่คิดว่ามันจะปิด เพราะคิดว่าเข้า summer แล้วถนนน่าจะเปิดแทบทุกเส้น และด้วยเหตุที่ว่าถนนมันปิดนี่เอง ผมก็ขับเลยทางแยกที่จะเข้า Hatcher pass ไปจนถึงเหมืองเล็กๆแห่งนึงที่ถูกทิ้งร้างแล้ว ชื่อ Independence Mine ครับ ทำให้เหมืองแห่งนี้เป็นเป้าหมายของเหล่าตากล้องแทน Hatcher pass ไปโดยปริยาย ฮาาาาา




บริเวณรอบๆ Hatcher Pass จะเหมือนกับเมืองในหุบเขาสายหมอกเลยครับ หงอคงน่าจะมาฝึกวิชาแถวนี้นะครับ 5555

ผมไม่ค่อยมีข้อมูลของเหมืองนี้เท่าไหร่ครับ ขอไปทำการบ้านก่อน จะมาพิมพ์เพิ่มให้นะครับ ดูภาพไปแทนก่อนแล้วกัน มีลำธารและน้ำตกเล็กๆด้วย หมอกที่ล้อมอยู่รอบบริเวณทำให้บรรยากาศดูดีขึ้นเยอะเลยครับ




กว่าจะเคลื่อนทัพจาก Independence Mine ก็ล่วงเวลาไปเกือบสี่โมงเย็น และระยะทางยังอีกค่อนข้างไกล คงต้องทำเวลาอีกครับ เราก็ขับไปบน Glenn Highway ไปเรื่อยๆ มุ่งหน้าไปทางตะวันออก ปลายทางคือ Slide Mountain Cabin ที่พักคืนนี้ มีโอกาสได้โฉบเฉี่ยวผ่าน Matanuska Glacier เล็กน้อย ได้มองแต่ไกลๆ เพราะเวลาไม่พอ และการเข้าไปสัมผัส Glacier ต้องจ่ายคนละ $15 เพราะ glacier เป็น private area ครับ ส่วนถ้าอยากจะเดินบน Glacier ต้องจ่ายมากกว่านั้นอีก ผมนั่งคำนวณตัวเลขและเวลาที่เหลืออยู่ของวันนี้แล้ว ขอตัดสินใจข้ามไปดีกว่าครับ เพราะยังไงอีกสองวันให้หลังได้เต็มอิ่มกับ Glacier แน่นอน


ส่อง Matanuska Glacier มาให้ชมแบบไกลๆครับ


ขับรถช่วงเดือนมิถุนายนถึงต้นเดือนกรกฏาคม แม้จะไม่เห็นใบไม้เปลี่ยนสี หรือไม่มีผลไม้ป่าข้างทางอร่อยๆให้ทาน (berry ป่าจะออกผลช่วงสิงหาคมครับ อร่อยมากๆ) แต่เราก็เห็นดอกไม้สีสันสวยงามไปตลอดทางครับ แม้ไม่ได้เข้าไป Matanuska Glacier แต่ได้ชมดอกไม้เพลินๆก็ happy กันถ้วนหน้าฮะ




ถ่ายรูปกันเพลินมากครับ ดอกไม้ป่าขึ้นริมทางเพียบเลย เราถ่ายกันเกือบครึ่งชั่วโมงได้ครับ

ตอนหน้าจะพาไปเที่ยว Wrangell-St.Elias National Park ครับ อุทยานที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาเหนือ แต่คนเที่ยวน้อยมาก และเป็นที่ๆผมประทับใจมากที่สุด เพราะได้เข้า Ice cave ครั้งแรกในชีวิตด้วยครับ


เขาลูกนี้ถ่ายจากหน้าที่พักเลยครับ เรานอนกันที่ Slide Mountain Cabin ครับ บริการดีเป็นกันเองมากครับ



No comments:

Post a Comment