Pages

Thursday, July 14, 2011

Alaska : Adventure in the Last Frontier #1

ผมเพิ่งกลับมาจากการผจญภัยที่สนุกมากๆครั้งหนึ่งของชีวิตมาได้ไม่นานเองครับ ไปลุยอลาสกามาสิบสองวันเต็ม ฟังดูเหมือนยาวนานมาก แต่มันก็ยาวจริงๆครับ 555 เที่ยวเอาจนเหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งกระเป๋ากันเลย

ตอนแรกผม set ไว้ว่าจะไป canadian rockies ช่วงนี้ แต่ด้วยเหตุปัจจัยเรื่องการขอวีซ่าของสมาชิกทริปหลายๆท่านเป็นไปด้วยความยากลำบาก อยู่ในช่วง US visa หมดบ้าง หรือขอเอกสารจากมหาวิทยาลัยไม่ได้บ้างเพราะกำลังเปลี่ยนมหาวิทยาลัย(ผมเองอยู่ในกลุ่มนี้) ทริปนี้ที่เขียนทริปกันจนเสร็จแล้วก็ต้องล้มพับไปเสียก่อน ถ้าไม่ไป canadian rockies แล้ว สถานที่ๆพอจะมางัดสู้ได้ก็คงต้องเป็น Alaska นี่แหละครับ เพราะความ Extreme มีไม่แพ้กันเลย ค่าใช้จ่ายก็ Extreme ไปด้วย ฮาาาา แต่จริงๆค่าใช้จ่ายก็ไม่ได้แพงมากขนาดเที่ยวไม่ได้เลยครับ เพราะถ้าเที่ยวด้วยตัวเองแล้วก็จะถูกกว่าไปตามทัวร์หลายเท่าตัวทีเดียว หลายๆคนเลือกที่จะจองมาจากเมืองไทย ส่วนมากจะได้มากับกลุ่มทัวร์ใหญ่ ล่องเรือสำราญ ซึ่งราคาแพงสุดๆเลยครับ ไม่ต่ำกว่าแสนบาทแน่นอน สำหรับผมเอง 12 วัน หมดไป $1300 โดยรวมก็ราวๆ 40000 บาทครับ ถือว่าคุ้มมากๆเมื่อเทียบกับประสบการณ์ที่ได้มา ได้ลองอะไรหลายอย่างมากๆ


Alaska เป็นรัฐที่ใหญ่มากครับ ไม่มีทางเที่ยวได้หมดภายในสิบวันแน่นอน พื้นที่ส่วนใหญ่ก็เข้าไม่ถึงด้วยรถยนต์ครับ รถยนต์ขับไปได้แค่ไม่ถึง 20% ของ area ทั้งหมด ที่เหลือต้องนั่งเรือ หรือทางเครื่องบินเท่านั้น อย่างเช่นเมืองหลวงของ Alaska ชื่อ Juneau ก็ไม่มีถนนเข้าถึง ต้องเครื่องบินหรือทางเรืออย่างเดียว (ไม่รู้จะไปสร้างเมืองหลวงตรงนั้นให้เปลืองค่าเครื่องบินทำไม 555) ผมก็ไปแค่ส่วนตรงกลางของ Alaska เท่านั้นครับ สรุปคร่าวๆของทริป คือ Anchorage - Seward - Kenai Fjord National Park - Anchorage - Chugach State Park - Glennallen - Wrangell St.Elias National Park - Valdez - Fairbanks - Arctic Circle - Fairbanks - Denali National Park - Anchorage

วันแรกของการเดินทาง ผมนั่งเครื่องบินจาก LA ไปลง Anchorage ไปเจอกับเพื่อนๆที่นั่นครับ แต่ไฟลท์ที่บินเข้า Anchorage นั้นมาจาก Seattle ผมลองลากเส้นตรงในจินตนาการบน google maps พบว่าเส้นทางบินจะเห็นชายฝั่งอลาสกาทางขวามือพอดี ฉะนั้นผมฟันธงเลยว่าผมต้องเห็นภูเขาสวยๆทางฝั่งขวาแน่นอน ลงมือจองที่นั่งฝั่งขวาติดหน้าต่างอย่างไม่ลังเลเลยครับ และนั่นก็ไม่ทำให้ผมผิดหวังเลย แม้ว่าเมฆจะเยอะมากก็ตาม แต่ก็ยังมีเสน่ห์อยู่ดี ภูเขาที่เห็นส่วนมากจะเป็นแถบ Wrangell St.Elias National Park ซึ่งเป็นอุทยานที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาเลยครับ

แต่ถ้านั่งจากสนามบินอื่น ก็ลากเส้นเอาเองนะครับ อาจจะอยู่ฝั่งซ้ายก็ได้ ถ้าบินมาจาก detroit ครับ google maps มีประโยชน์มากเลย





ทริปนี้มากันเจ็ดคนครับ มีผม ปัถย์(จาก UCSD) พี่ต้นและพี่กล้า(จาก UMass-Amherst) พี่มะกอกและพี่พีท (จาก Purdue) และหมอแหวนจาก UNC ครับ

วันแรกผมแทบไม่ได้ทำอะไร มาถึง Anchorage ก็เกือบห้าทุ่ม กว่าจะออกตัวไปถึงโรงแรมก็เที่ยงคืนพอดี นอนที่ Motel 6 ราคาแพงกว่า Motel 6 ที่อื่นครับ ที่นี่คืนละ $130 แต่สภาพห้องก็ดีกว่า Motel6 สาขาอื่นแบบผิดหูผิดตาทีเดียวครับ แน่นอน คนไทยกากๆอย่างผม มีเท่าไหร่ก็อัดเข้าไปห้องเดียวพอ เพราะนอนกันไม่กี่ชั่วโมงเอง 55 ผมเรียกให้วันที่สองของทริปเป็นวันแรกดีกว่า ตอนเช้าเราก็ทำอะไรไม่ได้มากครับ เพราะว่าพี่ต้นตกเครื่อง ไม่สามารถมาได้ในคืนก่อนหน้า ยังโชคดีที่ได้ไฟลท์มาถึงเที่ยงของอีกวันถัดไป ตอนช่วงเช้าก็เป็นเวลา shopping ซื้อเสบียง ของใช้ที่จำเป็นอื่นๆเช่น ผ้าใบ เชือกมัดของ เพราะเราเอาของไว้ด้านบนของรถ SUV ครับ มี bear bell เอาไว้กันหมี เป็นต้น

ที่ Anchorage มีร้านขายของเอเชียด้วยนะครับ ขอบอกว่า advance มาก มีผักที่ไม่คิดว่าจะได้พบได้เจอที่อลาสกา อย่างเช่น ยอดฟักทอง ผักกระเฉด ใบกะเพรา ผักหวาน ผักชีลาว (เห็นแล้วอยากกินอ่อมมาก) รวมไปถึงเครื่องปรุงอื่นๆก็มีครบครันมากครับ ร้านชื่อ APA Asian Market อยู่ในซอกเล็กๆ อาจจะหาไม่เจอได้ครับ
ที่อยู่ 300 W 36th Ave # 6, Anchorage, AK

พอจัดการทุกอย่างเสร็จสรรพเราก็เริ่มออกเดินทางไปเมือง Seward กันเลยครับ ระยะทางไม่ไกล ราวๆ 130mi เกือบๆสามชั่วโมงครับ ถ้าจอดชมวิวก็เผื่อไปอีกสองเลย 5555

Seward เป็นเมืองท่าทางตอนใต้ของ Anchorage ถนนที่เชื่อมระหว่างสองเมืองนี้ก็คือ Seward Highway ซึ่งจะวิ่งเลียบภูเขาและทะเลไปเรื่อยๆครับ แถมยังเป็นถนนที่สวยติดอันดับของอเมริกาด้วยนะครับ วิวสองข้างทางก็จะเห็นภูเขาสูงไปตลอด แต่ผมหลับด้วยความเหนื่อย 555 มาตื่นอีกทีก็ถึงตรงแยกที่จะไปเมือง Homer ครับ วิวดีมากกกกก


ปกตินักท่องเที่ยวที่มา Seward จะเที่ยว Kenai Fjord National Park เป็นหลักครับ นอกจากนี้ก็จะเป็นการเดินทาง cruise ต่อไปเมืองอื่นๆแทน Kenai Fjord เป็นอุทยานที่แทบไม่มีถนนเข้าถึง (ซึ่งก็เป็นส่วนมากของอลาสกา) เพราะว่าเนื้อที่ส่วนใหญ่ของที่นี่เป็น Icefield หรือ Ice sheet แผ่นน้ำแข็ง ต้นกำเนินของ Glacier และเป็นที่มาว่าทำไมที่นี่ถึงต้องเป็นอุทยาน ก็เพราะต้องรักษาไม่ให้ระบบนิเวศของ Icefield ผืนนี้ต้องได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะจากโลกร้อนครับ หลักๆเราสามารถชมอุทยานได้สองทาง อย่างแรกคือล่องเรือครับ มีบริษัททัวร์บริการเดินเรือหลายเจ้าเลยทีเดียว เจ้าหลักๆคือ Kenai Fjord Tour กับ Major Marine ซึ่งจะเป็นเรือลำใหญ่หน่อย มีบริษัทเล็กๆที่ออกเรือลำเล็กครับ แต่ราคาต่อหัวก็แพงขึ้นไปหลายเท่าทีเดียว

อีกทางหนึ่งที่จะชมอุทยานก็คือทางรถครับ มีถนนเส้นเดียวที่เข้าไปถึงอุทยาน แต่ก็เป็นแค่ปลายติ่งเล็กๆเท่านั้นเอง ถนนเส้นนี้เข้าไปที่ Exit Glacier ครับ จากที่จอดรถ เดินไปราวๆ 2mi ทางราบ บวกเนินนิดหน่อยก็จะได้เข้าไปใกล้ Exit Glacier แล้วครับ ถือว่าสะดวกมากๆ และเหมาะกับคนที่ไม่พร้อมที่จะเดินป่าแบบหินๆครับ แต่ก่อนนี้ Exit Glacier นี้อยู่ใกล้ๆลานจอดรถเลยครับ แต่ด้วยโลกร้อนขึ้น Glacier ก็ถอยร่นลงไปเรื่อยๆ ตลอด trail ที่เดินไปจะเห็นป้ายปัก ระบุ คศ. นั่นคือตำแหน่งของ Glacier ในปีนั้นๆครับ ยิ่งเดินไปก็ดูจะหดหู่ลงไป เพราะกว่าจะถึง 2010 มันช่างไกลเหลือเกิน


ทางเดินขึ้นเนินนิดหน่อยครับ


ได้เดินเข้าไปใกล้ Glacier มากๆ แต่ไม่สามารถเข้าใกล้จนแตะน้ำแข็งได้นะครับ เพราะอันตรายพอสมควรครับ


จะเห็นว่ามีรั้วกั้นอยู่ แต่เท่านี้ก็ใกล้มากเพียงพอแล้วครับ ถ้าอยากได้แสงสวยๆต้องมาตอนเช้า เพราะตอนบ่ายจะย้อนแสงด้วยครับ


ตามกระแส ขอ plank กันหน่อย ฮาาาา

เราเดินชม Exit Glacier เสร็จราวๆหกโมงเย็น แต่เรายังไม่จบกันแค่นั้นครับชมด้านล่าง Exit Glacier กระจอกไป ฮาาาา ทริปเราต้องเหนื่อยกันกว่านี้ วันแรกขอรับน้องกันเลยดีกว่า จากรูปด้านบนก็จะเห็นภูเขาทางด้านขวา นั่นแหละครับ เป้าหมายวันนี้ของเรา คือเดินไปชม Glacier ด้านบนกัน เห็นความสูงแล้วก็ต้องทำใจนิดหน่อย เพราะต้องเดินขึ้น 3000 ft ในระยะทาง 3 ไมล์นิดๆ เท่ากับ 1000ft ต่อ 1 ไมล์ ชันเอาเรื่องอยู่ทีเดียวครับ เวลาเดินราวๆหกชั่วโมง แปลว่าเราจะกลับลงมาราวๆเที่ยงคืนครับ ฟังดูเหมือนจะมืดแล้ว แต่พระอาทิตย์หน้าร้อนที่อลาสกาจะตกราวๆห้าทุ่มครึ่งครับ และท้องฟ้าตอนเที่ยงคืนก็ไม่มืดสนิท ฉะนั้นไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด แต่วันนี้จะเหนื่อยกันแน่ๆ 555

Trail นี้ชื่อ Harding Icefield Trail ครับ ดูจาก map ก็จะเห็นว่าเดินเลาะไปข้างๆ Glacier เลย trail นี้เป็น top 20 trails แนะนำใน National Geographic ด้วยนะครับ เพราะว่า trail นี้ทำให้เราได้ไปสัมผัส Icefield ที่เป็นต้นกำเนิดของ Glacier กันแบบใกล้ๆเลยทีเดียว ข้างบนนั้น แน่นอนว่าจะเห็นทุ่งน้ำแข็งสุดลูกหูลูกตากันเลย



Trail สีฟ้าก็คือ trail ที่ไปชม Glacier จากด้านล่างครับ


ส่วน Harding Icefield Trail ของจริงก็อย่างที่เห็นครับ

เส้นทางเดินช่วงแรกก็จะผ่านป่าครับ ซึ่งมีลำธารและมีความดิบอยู่พอสมควร ถ้ามาเดินช่วงเดือนมิย.และ กค. ก็จะมี ยุงงงงงงงงง ครับผม ยุงเยอะมากกกกก ต้องเตรียมเสื้อแขนยาวและยากันยุงให้พร้อมนะครับ ยุงมันบินวน ไล่ล่ากันอย่างไม่หยุดหย่อนทีเดียว ช่วงแรกๆของการเดินเราจะไม่เห็น Glacier เท่าไหร่ครับ จนเราเดินถึง Overlook แรก วิวสวยๆก็เริ่มมาให้เห็นแล้วครับ


มองไปด้านหลัง ขึ้นมาสูงใช้ได้นะครับ หอบกันแฮ่กๆเลย 555



บางช่วงก็ต้องเดินบนหิมะบ้าง ลำบาก แต่ไม่ยากเกินไปครับ ไปกันช้าๆ


ใกล้จะถึงข้างบนแล้ว เห็น Glacier เป็นแนวอยู่ด้านหลังครับ


จากจุดนี้ อีกไม่ไกลแล้วครับ

 

เดินลุยหิมะกันไป


และเราก็ตัดสินใจว่าจะหยุดกันตรงนี้ครับ เพราะตอนนั้นสี่ทุ่มแล้ว ระยะทางตรงนี้ 3.5 ไมล์ จากทั้งหมด 4 ไมล์ ถ้าคำนวณเวลาลง หากไปต่ออาจจะกลับลงมาดึกเกินไป ทำให้เราไม่ได้ไปถึงปลายสุดของ trail แต่ก็ได้เห็น icefield ลางๆครับ 



ลวดลายของ Glacier เป็นริ้วของรอยแตก งดงามากๆ เห็นน้ำสีฟ้าขังอยู่ประปรายด้วยครับ



จากตรงนี้ก็พอจะเห็น Icefield ได้บ้างครับ แต่ถ้าขึ้นไปต่ออีกหน่อยก็จะเห็นได้ 180 องศาเลยทีเดียว

ขาลงเราก็ลงกันมาอย่างทำเวลาครับ ขาขึ้นปวดน่อง แต่ขาลงปวดเข่ามาก 555 การเดินอย่างเร็วๆนี่มันเป็นการวัดความแก่ได้ดีทีเดียว ยิ่ง 1000ft/mile แล้วชัดเจนมากครับ สุดท้ายเราก็เดินลงมาถึงข้างล่างตอนห้าทุ่มเศษๆพอดี ไปหาอาหารเติมพลังกันที่ safeway แล้วเข้าที่พักนอนครับ ที่พักในคืนนี้เป็น hostel ชื่อ Moby Dick Hostel เป็นบ้านน่ารักมากครับ จริงๆผมก็ทำผิดมารยาทไปเล็กน้อย เพราะปกติ hostel จะเคร่งเครื่องการใช้เสียงในเวลาดึกมากๆ หากอาบน้ำ เดินไปเดินมาช่วงดึกจะเป็นการรบกวนคนอื่นครับ ฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ ถ้าพัก hostel ก็ไม่ควรไป hike แล้วกลับตอนดึกแบบพวกผมครับ 555 ยังดีที่ผมจอง private room ไว้สองห้อง ทำให้ค่อนข้างคล่องตัวตอนย่องเข้าที่พักยามดึก 555


hostel ครับ พักสบายมาก บ้านน่ารักมาก ข้างหลังเห็นภูเขาหิมะ(มังกรหยก)ด้วย

เช้าวันถัดมาเราก็ไปชม Kenai Fjord กันอีกอารมณ์นึง ก็คือล่องเรือนั่นเองครับ ผมเลือก Major Marine tour เพราะอ่าน review เขาบอกว่าเรือของบริษัทนี้จะมีเนื้อที่ด้านนอกเรือมากกว่า ทำให้เราออกไปชมวิว และชมสัตว์ได้คล่องกว่า แต่เอาเข้าจริง ผมไปแอบดูเรือของ Kenai Fjord Tour ก็ไม่เห็นต่างกัน ขนาดก็ใกล้ๆกัน เส้นทางเดินเรือก็คล้ายๆกันครับ

เวบของทั้งสองบริษัทครับ http://www.kenaifjords.com/ และ http://www.majormarine.com/
บริษัท Major marine นี้ยังบริการทัวร์ใน Prince William Sound ด้วย ซึ่งต้องนั่งเรือจากเมือง Whittier ครับ ทั้ง Kenai Fjord และ Price William Sound จะเป็นการล่องเรือชมเหมือนๆกัน เป้าหมายหลักก็คือชม Tidewater Glacier หรือ Glacier ที่มีปลายทางอยู่ที่ทะเล ซึ่งจะต่างกับ glacier ธรรมดาตรงที่ถ้าโชคดี จะเห็นน้ำแข็งแตกออกมาเป็น iceberg ครับ ที่ Price William Sound จะเห็น Glacier มากกว่า ส่วน Kenai Fjord นั้นเรือส่วนมากจะพาไปชมแค่ Glacier เดียว แต่จะเห็นสัตว์นานาชนิดเยอะกว่ามากครับ ทั้งวาฬ นก แมวน้ำ ฯลฯ ขึ้นอยู่กับว่าชื่นชอบแบบไหนมากกว่ากัน ถ้าชอบ Glacier ก็ไป Price William Sound การนั่งเรือแต่ละครั้งก็มีค่าใช้จ่าย $150 ต่อคนโดยประมาณ ซึ่งถ้าไปทั้งสองที่ก็คงเปลืองเงินมากครับ ผมเลยเลือก Kenai Fjord เพราะเห็นทั้งสัตว์และ Glacier ครับ

Cruise หนนี้ผมเลือก 7.5 hour tour ครับ คิดว่ามันคงนานกว่า แต่จริงๆระยะทางเท่ากัน นั่งเรือลำที่วิ่งได้ช้ากว่า เลยมีช่วงเวลาที่นานกว่าครับ ปกติ cruise นั้นจะมีอาหารเที่ยงให้ทานด้วยครับ (อาจจะต้องจ่ายเพิ่ม แล้วแต่บริษัท) มื้อเที่ยงก็เป็นเนื้อ rib กับ salmon สดๆของอลาสกาที่ผมใฝ่ฝันจะทานมานาน :P

นอกจากนี้บนเรือก็จะมี Ranger ของอุทยานคอยให้ความรู้ และคอยชี้ให้เห็นสัตว์ต่างๆด้วยครับ rangers ตาไวมากๆ เจอสัตว์หลายชนิดทีเดียว แถมยังบอกจากระยะไกลได้ด้วยว่าเป็นชนิดอะไร



พอออกจาก Seward ก็จะเห็นวิวของภูเขาสูงๆได้รอบตัวเลย


ที่ Seward มีเรือลำใหญ่ๆมาบ่อยครับ ส่วนมากก็มาจาก canada & seattle นั่นเอง



เริ่มเห็นสัตว์ครับ Puffin น่ารักมากๆ


ปลาวาฬพ่นน้ำ อยู่ไกลมาก ผมซูมได้ไม่ไกล กล้องไม่คูณด้วย เลยได้รูปสัตว์มาไม่มากครับ


Aialik Glacier ซึ่งเรือไม่ได้ไปที่นี่ครับ แต่ไป Holgate Glacier แทน


เริ่มเข้าใกล้ Holgate Glacier ก็จะเจอก้อนน้ำแข็งลอยเพียบเลย พอเรือแล่นผ่านก็จะได้ยินเสียงตึงๆ เพราะน้ำแข็งชนเรือ แต่คงไม่จมเหมือนไททานิคหรอกนะครับ :)



ทางด้านซ้ายของ Holgate Glacier จะเห็น Glacier เล็กๆอันนึงซึ่งผมไม่ทราบชื่อเหมือนกัน Glacier นี้ไม่ถือว่าเป็น Tidewater Glacier เพราะว่าปลายทางไม่ได้ลงไปในทะเล แต่ถ้าในอนาคต ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ 555


และแล้วก็ได้มาเห็นกับตาครับ เรือจะจอด ดับเครื่อง ให้เรานั่งฟังเสียงน้ำแข็งแตก ซึ่งก็ได้ยินจริงๆครับ ระยะทางไกลราวๆสองร้อยเมตรขนาดนี้ยังได้ยินชัดเจน เหมือน Glacier กำลังมีการเคลื่อนไหว มันช่างสุดยอดมากๆครับ


รอไปสักพักเราก็ได้เห็นก้อนน้ำแข็งแตกลงมา เสียงดังทะมึนไปทั่วเลยครับ แม้เป็นแค่ก้อนเล็กๆก็ตาม จริงๆถ้าเป็นวันที่โชคดีอาจจะได้เห็นกำแพงใหญ่ๆถล่มลงมา แต่เราไม่ได้โชคดีขนาดนั้นครับ :( 

เรือจะจอดให้ชม Glacier ราวๆสามสิบนาที ถ้าเกิดวันนี้พกโชคมาน้อยก็อาจจะได้เห็นเท่าที่เห็นครับ ธรรมชาติถือไพ่อย่างชัดเจนมากๆ แต่ว่าแค่ได้มาเห็น Glacier ก็คุ้มค่าแล้วครับ ใจจริงผมก็อยากโชคดีมากนัก ไม่อยากเห็น Glacier ถล่มลงไปมากกว่านี้ เพราะถ้าเห็นมันถล่มครึนๆไปทุกวัน แสดงว่าอากาศโลกเราคงอยู่ในภาวะวิกฤติจริงๆแล้วครับ น้ำทะเลก็สูงขึ้นทุกวันด้วย

ลดขยะ ลดการสร้างมลพิษ รักษาสิ่งแวดล้อมนะครับ มนุษย์บนโลกช่วยกัน เราก็จะรักษาโลกไว้ได้ครับ

1 comment:

  1. เค้าจะปายยยยยยยยย แง่มมๆๆๆๆๆๆๆ สวยมากๆอ่ะ *-*

    ReplyDelete